‘กรุงศรี’ Q3/63 กำไร 6 พันลบ. ลด 6.8% สำรองเพิ่ม รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการลด

HoonSmart.com>> “กรุงศรี” กำไรไตรมาส 3/63 จำนวน 6,114 ล้านบาท ลดลง 6.8% จากงวดปีก่อน เหตุรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง สำรองเผื่อหนี้เสียรับภาวะเศรษฐกิจชะลอรุนแรง ส่วน 9 เดือนกำไร 1.97 หมื่นล้านบาท ลดลง 25.3% เหตุงวดปีก่อนกำไรขายหุ้นเงินติดล้อ ตัดรายการพิเศษกำไรลด 6%

เซอิจิโระ อาคิตะ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิ 6,114.69 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.83 บาท ลดลง 6.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 6,564.38 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.89 บาท

ส่วนงวด 9 เดือนปี 2563 กำไรสุทธิ 19,655 หมื่นล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.67 บาท ลดลง 25.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 26,311.32 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 3.58 บาท

ในงวดไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิลดลง 6% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองเพื่อรองรับการด้อยลงของคุณภาพของสินเชื่อ สอดคล้องกับการบริหารจัดการคุณภาพของสินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวังเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1,146 ล้านบาท หรือ 7.5% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นจากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางการชะลอตัวอย่างรุนแรงของกิจกรรมทางธุรกิจ และการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ

ส่วนกำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองเพื่อรองรับการด้อยลงของคุณภาพของสินเชื่อ สอดคล้องกับการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจ

ส่วนงวด 9 เดือนกำไรสุทธิลดลง 6.6 พันล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวยและเนื่องจากไม่มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้นจำนวน 50% ของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด และค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับประมาณการหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการชดเชยกรณีพนักงานเกษียณและเลิกจ้างตามการแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานใน 9 เดือนแรกปี 2562

หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าวธนาคารจะมีกำไรลดลง 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองเพื่อรองรับการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อซึ่งสะท้อนการบริหารจัดการคุณภาพของสินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และการลดลงของกำไรจากการดำเนินงาน

ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 1.4% จาก ณ สิ้นเดือนธ.ค.2562 โดยมาตรการการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อและมาตรการในการเสริมสภาพคล่องของธนาคารให้กับลูกค้ามีส่วนช่วยให้สินเชื่อเติบโตในช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 โดยสินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่สินเชื่อลูกค้า SME และสินเชื่อเพื่อรายย่อยมีอัตราการเติบโต 1.6%, 2.6% และ 0.9% ตามลำดับ

ส่วนเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 10.4% จาก ณ สิ้นเดือนธ.ค.2562 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.63% เทียบกับ 3.68% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 32.9% หรือ 1.17 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากการปรับลดลงของกำไรจากการลงทุน เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษจากการขายเงินลงทุนในบริษัท เงินติดล้อ และการปรับลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ

ส่วนอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ระดับ 2.24% เทียบกับ 1.98% ณ สิ้นเดือนธ.ค.2562 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ที่ระดับ 160.6% เทียบกับ 163.8% ณ สิ้นเดือนธ.ค.2562 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 17.13% เทียบกับ 16.56% ณ สิ้นเดือนธ.ค.2562

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) กล่าวว่า จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไตรมาสสาม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญ

“ในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญเชิงระบบ กรุงศรียังคงดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินสำหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ประสบปัญหา ในไตรมาส 3/2563 ธนาคารได้ให้การสนับสนุนลูกค้าด้วยการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ลูกค้าก่อนการครบกำหนดมาตรการพักชำระหนี้ในระหว่างไตรมาส”นายเซอิจิโระ กล่าว

สำหรับแนวโน้มธุรกิจโดยรวม นายอาคิตะ คาดว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง และมาตรการทางการคลังของรัฐบาลรวมถึงมาตรการทางการเงินและสินเชื่อ จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจจะนำไปสู่การหวนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของภาคธุรกิจในประเทศและภาคครัวเรือน ท่ามกลางการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่อ่อนแอ

“กรุงศรียังคงให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจผ่านมาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้ตลอดจนการสนับสนุนด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ ธนาคารจะดำเนินการติดตามและจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างรอบคอบระมัดระวังเพื่อความแข็งแกร่งของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร และมุ่งเน้นการกำกับดูแลด้วยความเข้มงวดเพื่อให้เชื่อมั่นว่าธนาคารมีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองในระดับสูงและเพียงพอที่จะรองรับกับความท้าทายทางการเงินและเศรษฐกิจ”นายเซอิจิโระ กล่าว

ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าของไทยด้านสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินฝาก และเป็นหนึ่งในห้าสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.84 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.73 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.49 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 276.54 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.13% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 12.24%
276,540 ล้านบาท