EP ขายโรงไฟฟ้า 3 โครงการในญี่ปุ่น มูลค่าเกือบ 2 พันลบ.

HoonSmart.com>> “อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป” เผยบริษัทย่อยขายโรงไฟฟ้า 3 โครงการในประเทศญี่ปุ่น มูลค่าเกือบ 2 พันล้านบาท เหตุผู้ซื้อให้ราคาสูง ช่วยเพิ่มสภาพคล่องลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมในเวียดนามและลดหนี้สินต่อทุนเหลือ 1.47 เท่า

บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2563 อนุมัติให้บริษัทย่อยทางอ้อม ดำเนินการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศญี่ปุ่น รวม 3 โครงการ มูลค่า 6.75 พันล้านเยน หรือประมาณ 1.99 พันล้านบาท

บริษัทฯ อนุมัติให้บริษัท EP Group (HK) Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมถือหุ้น 100% โดนบริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ (ETP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยถือหุ้น 75% ดำเนินการขายโครงการโรงไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ Kurihara 1 จำนวน 9.52 เมกะวัตต์ (AC) (11.68 เมกะวัตต์ติดตั้ง) มูลค่าราว 665.08 ล้านบาท, โครงการ Kurihara 2 จำนวน 12.24 เมกะวัตต์ (AC) (17.25 เมกะวัตต์ติดตั้ง) มูลค่าราว 804.59 ล้านบาท

นอกจากนี้อนุมัติให้บริษัท เอ็ปโก้ เอ็นเนอร์ยี่ (EPCOE) ขายโครงการKyotamba ขนาดกำลังการผลิต 9.99 เมกะวัตต์ (AC) (12.01 เมกะวัตต์ติดตั้ง) มูลค่าราว 522.06 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 โครงการ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว

การขายโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีเงินสดรับเพิ่มขึ้น และหรือมีเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการลงทุนในอนาคต ที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า และหรือ ชำระคืนเงินกู้ของบริษัท เพื่อลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท และจะส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นต่อไป

เหตุผลที่จําหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าทีประเทศญีปุ่น จํานวน 3 โครงการ เนื่องจาก 1.ราคาขายของโครงการทั้ง 3 โครงการนี้ผู้ซื้อได้เสนอราคาโดยมี Required Rate of Equity Return (RRER) ที่ตํากว่าอัตราที่บริษัทฯใช้ในการลงทุนโครงการต่างๆ มาก กล่าวคือ ราคาที่เสนอซื้อใช้ RRER ที่ประมาณ 5.16% ในขณะที่ RRER ของบริษัทฯในการลงทุนใดๆจะอยู่ทีประมาณ 12% ขึ้นไป (ซึงจะคิดเป็น NPV ประมาณ 1,111.28 ล้านบาท บริษัทฯ จึงได้รับกําไรส่วนเกิน (Premium) จากการขายโครงการนี้มากกว่าการถือโครงการไว้จนหมดอายุสัญญา PPA

2. บริษัทฯสามารถลดภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอัตราภาษีในประเทศญี่ปุ่น ทีมีการเรียกเก็บในอัตราทีสูงและมีภาษีหลายประเภท เช่น Consumption Tax = 10% , Corporate tax = 29.74% , Fixed asset tax1.40% , Selling Tax = 1.288% ซึงแม้การลงทุนในโครงการแบบ ทีเค จีเค จะทําให้สามารถประหยัดภาษีCorporate tax แต่โครงสร้างการลงทุนแบบ TK นั้นส่งผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถบริหารงานได้คล่องตัว และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารงานแบบ TK ค่อนข้างสูง

3. บริษัทฯกําลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังลมทีประเทศเวียดนาม ซึงจะให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (Equity IRR) ประมาณ 20-25% ซึงสูงกว่า RRER ที่บริษัทฯตั้งขั้นตําไว้ค่อนข้างมาก การขายทั้ง 3 โครงการ จะทําให้บริษัทฯมีสภาพคล่องเพียงพอทีจะลงทุนในโครงการดังกล่าวได้

4. เนื่องจากการลงทุนในประเทศญีปุ่นมีผลตอบแทนของโครงการ (IRR) ค่อนข้างตํ่า ดังนั้น การลงทุนใดๆ จึงต้องกู้ยืมเงินซึงมีอัตราดอกเบี้ยที่ตํามากในสัดส่วนทีสูง (ประมาณ 80% ของการลงทุน) เพื่อเพิมผลตอบแทนในการลงทุนส่วนของ Equity จึงทําให้ที่ผ่านมาบริษัทฯต้องแบกรับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ทีสูงกว่า 3 ต่อ 1 มาโดยตลอด การจําหน่ายเงินลงทุนในครั้งนี้ จึงทําให้บริษัทฯ สามารถลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงมาเหลือเพียง 1.47 เท่านั้น