บลจ.บัวหลวง บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ “กลุ่มมินีแบมิตซูมิ” มูลค่า 4.5 พันล.

บลจ.บัวหลวง ลงนามสัญญาบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ขนาดกว่า 4,500 ล้านบาท ให้พนักงานกลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) เริ่มตั้งแต่เดือนก.ค.นี้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อการบริหารงานของกองทุน

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล Managing Director, Head of Business Distribution บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง เปิดเผยว่าบริษัทลงนามในสัญญาร่วมกับ บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด เพื่อเข้าไปบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กลุ่มบริษัท มินีแบ (ประเทศไทย) ขนาดกองทุนกว่า 4,500 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ของบลจ.บัวหลวง โดยจะเริ่มต้นบริหารกองทุนดังกล่าวตั้งแต่เดือนก.ค.นี้เป็นต้นไป

วศิน วัฒนวรกิจกุล

เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย บริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) เป็นผู้นำด้านการผลิตตลับลูกปืนขนาดเล็ก มอเตอร์ขนาดเล็ก ชิ้นส่วนเชิงกล และอุปกรณ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความเที่ยงตรงสูง ด้วยเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูง นอกจากนี้ ยังเป็นผู้จ้างแรงงานไทยรายใหญ่ ที่มีขนาดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากกว่า 9,000 ล้านบาท และมีจำนวนสมาชิกกองทุนกว่า 28,000 คน โดยบลจ.บัวหลวง ได้รับมอบหมายให้บริหารเงินกองทุนครึ่งหนึ่งของมูลค่ากองทุนทั้งหมด ในขณะที่ธนาคารกรุงเทพจะทำหน้าที่บริการด้านนายทะเบียนสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และผู้รับฝากทรัพย์สิน เต็มจำนวนของกองทุน

“เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการในไทยเป็นเวลานานเกือบ 40 ปี ทั้งยังเป็นลูกค้ารายสำคัญของธนาคารกรุงเทพ จากการที่เราได้รับโอกาสให้เข้าไปบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากสายงานธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่นของธนาคารกรุงเทพแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ เอ็นเอ็มบี-มินีแบไทย มีต่อทีมบริหารและนโยบายการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบลจ.บัวหลวงอีกด้วย ซึ่งต้องขอขอบคุณมินีแบที่ให้ความไว้วางใจเราในครั้งนี้” นายวศิน กล่าว

กลุ่มบริษัท มินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วกว่า 30 ปี เพราะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการออมเพื่อให้พนักงานมีเงินเก็บเพียงพอไว้ใช้เมื่อเกษียณอายุ การตัดสินใจเลือก บลจ.บัวหลวงเข้ามาบริหารกองทุนในครั้งนี้ เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน รวมทั้งน่าจะช่วยเพิ่มช่องทางที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับพนักงานอีกด้วย

“กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงาน โดยเรามีเป้าหมายว่า อยากให้พวกเขามีเงินเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณอายุ เราจึงเลือกนโยบายการลงทุนที่เน้นเรื่องความมั่นคงที่สุดให้กับพนักงาน ดังนั้น การคัดเลือกผู้บริหารกองทุนจึงต้องพิถีพิถัน และมีผลการดำเนินงานที่ดี อีกทั้งต้องมีนโยบายการบริหารกองทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเราด้วย” น.ส.สุนี เชิดชูชาติ ประธานกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กลุ่มบริษัท มินีแบ (ประเทศไทย) กล่าว

สำหรับภาพรวมธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในประเทศไทยยังมีแนวโน้มของการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ล่าสุดเดือน พ.ค. 2561 พบว่า มีจำนวนนายจ้างที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 19,426 ราย เพิ่มขึ้น 3.86% จากสิ้นปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีอยู่ 18,704 ราย ในขณะที่จำนวนพนักงานที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีจำนวนกว่า 3.31 ล้านคน คิดเป็น 8.71% ของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมดกว่า 37.96 ล้านคน

นายวศิน กล่าวว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สะท้อนให้เห็นว่า นายจ้างตระหนักถึงความสำคัญของการมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้พนักงานมีความมั่นคง และมีเงินเพียงพอไว้ใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เพราะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นจัดตั้งด้วยความสมัครใจของแต่ละองค์กร โดยไม่ได้มีกฎหมายบังคับแต่อย่างใด

“การลงทุนยิ่งใช้ระยะเวลาลงทุนยาวเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ดีขึ้นเท่านั้น เพราะเม็ดเงินลงทุนสามารถทำงานได้มากขึ้น ดังนั้น การลงทุนผ่านช่องทางกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้พนักงานมีความมั่นคงทางการเงินได้มากขึ้น” นายวศิน กล่าว

นอกเหนือจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้ว บลจ.บัวหลวง พร้อมที่จะส่งเสริมให้สมาชิกตระหนักถึงการออม การลงทุน รวมทั้งการเตรียมตัวเพื่อการเกษียณ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่สมาชิกกองทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

นายวศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.บัวหลวง ให้ความสำคัญกับการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่นับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยให้พนักงานมีความมั่งคงและมีเงินเก็บเพียงพอไว้ใช้ในวัยเกษียณ สอดคล้องกับพันธกิจสำคัญของบลจ.บัวหลวง คือ “ทำให้ครอบครัวไทยมีความมั่นคงทางการเงิน”