STI ปรับเป้ารายได้ปี 63 แตะ 1.5 พันลบ. ซุ่มเจรจาพันธมิตรเสริมแกร่ง

HoonSmart.com>> “สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์” ย้ำเป้าหมายใหม่รายได้ปีนี้โต 100% แตะ 1,500 ล้านบาท หลังควบรวม AEC หนุนผลงานโตกระโดด Backlog คาดทะลุ 5,000 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้ระยาว 5 ปี แย้มแผนเจรจาพันธมิตรใหม่เสริมทัพ สะท้อนความสำเร็จในการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงอย่างดีเยี่ยม

สมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์

นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการควบรวมบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จํากัด (AEC) สนับสนุนพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยน และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ภาพรวมรายได้ปีนี้มีโอกาสเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัวจากปีก่อนที่ทำได้ 727.28 ล้านบาท หรือแตะระดับ 1,500 ล้านบาท มีมูลค่างานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ราว 4,600 ล้านบาท และมีงานรอเซ็นสัญญาอีกประมาณ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าหมาย Backlog ในช่วงสิ้นปีนี้แตะระดับ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อย AEC มีความเชี่ยวชาญด้านงานโครงสร้างพื้นฐานและงานสาธารณูปโภค ขณะที่ STI มีความเชี่ยวชาญในงานอาคาร และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้ให้เติบโตตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันทั้ง 2 บริษัทมีโครงการในมือรวมประมาณ 150 โครงการ และบุคลากรรวมกันประมาณ 1,500 คน เสริมศักยภาพธุรกิจ และการประหยัดต้นทุนในหลายๆ ส่วน

นายสมเกียรติ กล่าวว่าภาพรวมธุรกิจปีนี้คาดเป็นไปตามเป้าหมาย เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากความสำเร็จในการบริหารจัดการภายใน และการขยายธุรกิจ สยายปีกในฐานะผู้นำในธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร ด้วยมาตรฐานและการให้บริการที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับต่างประเทศ (International standard)

มุมมองภาพรวมงานก่อสร้างในประเทศ แม้ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว แต่ตอนนี้เริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ส่วนของงานภาคเอกชนในโครงการขนาดใหญ่ยังเดินหน้า และเป็นโอกาสในการขยายงาน เนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างมีราคาลดลง ในส่วนของงานภาครัฐบาลสำหรับโครงการที่มีการก่อตั้งงบประมาณและอนุมัติงบประมาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีการเดินหน้าการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสให้กลุ่ม STI เข้าไปบริหารและควบคุมงานก่อนสร้างได้ เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทฯ เป็นภาคเอกชนรายใหญ่ รวมถึงงานโครงสร้างพื้นฐาน

อย่างไรก็ดี ในด้านการควบคุมความเสี่ยง บริษัทฯ มองว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ เนื่องจาก STI วางแผนรับมือในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว ประกอบกับ สถานการณ์โควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกับ STI ในวงจำกัด ด้วยความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารและพนักงาน ในการขับเคลื่อนและส่งมอบงานตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้ง วางแผนการเติบโตอย่างยั่งยืน รุกขยายไปยังงานภาครัฐ จึงเข้าไปลงทุนใน AEC เข้ามาเป็นบริษัทย่อย (STI ถือหุ้นอยู่ 63.75%) ซึ่งดีลแล้วเสร็จในเดือนเม.ย.2563 ที่ผ่านมา

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงปลายปี 2561 ส่วนหนึ่งนำมาใช้ในการควบรวมกับ AEC ตามแผนขยายกิจการ และยังเหลือเงินอีกส่วนหนึ่งราว 50 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลงทุนในบริษัทที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อเสริมสร้างในด้านบุคลากร และศักยภาพความมั่นคงในการรับรู้รายได้มากขึ้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 บริษัท ซึ่งก็ถือว่าเป็นบริษัทขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่มาก แต่หากดีลมีการตกลงสำเร็จลุล่วง ก็จะส่งผลให้การรับรู้รายได้ของ STI เพิ่มขึ้น รวมถึง บุคลากรที่ทรงคุณค่า และมีความรู้ความสามารถเข้ามาเสริมทัพงานในส่วนของ STI ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้น