นักวิเคราะห์ยังคงเตือนนักลงทุนให้ระมัดระวังการลงทุน เมย์แบงก์ฯ สงครามการค้ากระทบเป็นวงกว้าง ระยะสั้นแนะนำทยอยสะสม กลุ่ม Domestic ส่วนเคทีบีเน้นเลือกรายตัว KKP, BANPU , KTC, SSP ,LH และ AOT
นักวิเคราะห์บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะนักลงทุนจับตา 2 ปัจจัยสำคัญซึ่งถือเป็น Downside ที่ยังไม่ถูกรวมไว้ในตลาด คือ 1.หากสหรัฐปรับขึ้นภาษีรถยนต์จากยุโรป และ 2.หากปรับขึ้นภาษี และออกมาตรการกีดกันสินค้ากลุ่ม IT จากประเทศจีน ถ้าเกิดทั้ง 2 สิ่งนี้ขึ้น ผลกระทบจะสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ แต่หากระหว่างทางไม่มีสัญญาณลบจากประเด็นดังกล่าว มองว่าพี/อี ต่ำกว่า 15 เท่า มี Downside ที่จำกัด กรอบล่างประเมิน บวกลบ 1,580
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ระยะสั้นแนะนำทยอยสะสม กลุ่ม Domestic นำโดยกลุ่มธนาคาร BBL เป้าหมาย 235 บาท ค้าปลีก BJC เป้าหมาย 68 บาท และรถไฟฟ้า BEM เป้าหมาย 9 บาท
ส่วนนักลงทุนระยะยาว คงคำแนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนสงครามการค้า ซึ่งจะมีผลจริงในวันที่ 6 ก.ค. แนะจับตาข้อสรุปการกีดกันการลงทุนจากประเทศจีน
ทางด้านบล.เคทีบี(ประเทศไทย) คาดดัชนีฯ มีแนวโน้มอ่อนตัวหลังใกล้เส้นตาย 6 ก.ค.ที่ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-จีนจะมีผลบังคับใช้ นักลงทุนส่วนหญ่จะชะลอการลงทุนหรือลดความเสี่ยงในตลาดลง
นอกจากนี้ การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาย้ำให้โอเปกเพิ่มกำลังการผลิต แสดงว่าสหรัฐฯกำลังกดดันให้ราคาน้ำมันลดลง เพราะเป็นที่มาของเงินเฟ้อ จะทำให้ราคาน้ำมันถูกจำกัดไว้ที่ระดับปัจจุบัน (WTI ล่าสุด 74.05
ดอลลาร์/บาร์เรล) ตัวแปรที่จะมีผลต่อตลาด
“ในเชิงกลยุทธ์ เรายังแนะนำให้เลือกลงทุนเป็นรายตัว เพราะหลัง 6 ก.ค.ตลาดอาจผันผวนได้มากตามความคืบหน้าของสงครามการค้า หุ้น top picks ยังคงหุ้น KKP, BANPU , KTC, SSP,LH และเพิ่มหุ้น AOT ขณะที่หุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามาก และมองเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ เราแนะนำ DTAC, HTECH และ BH” บล.เคทีบีระบุ