HoonSmart.com>>ธนาคารทหารไทยได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นจากเอสแอนด์พี ปัจจัยหนุนรวมกิจการช่วยเสริมความสำคัญของทีเอ็มบีและธนชาตต่อระบบการเงิน แผนรวมกิจการเข้าเป้าหมาย คาดเสร็จก.ค. 2564 ด้านธนาคารมั่นใจสถานะทางการเงินแข็งแกร่งพร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings หรือ เอสแอนด์พี ได้ประกาศปรับอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาว ธนาคารทหารไทย (TMB) จาก BBB- เป็น BBB เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2563 โดยระบุว่าการรวมกิจการระหว่างธนาคารและธนาคารธนชาตส่งผลให้กลุ่มธนาคารมี Systemic Importance หรือมีความสำคัญต่อระบบการเงินในระดับสูง อีกทั้งยังสามารถดำเนินการตามแผนรวมกิจการได้ตามเป้าหมาย คาดว่าการรวมกิจการจะเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนก.ค. 2564
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศแผนรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ธนาคารทหารไทยได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกจาก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ ซึ่งประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของธนาคารขึ้น 1 อันดับจาก Baa2 เป็น Baa1 ในปีที่แล้ว และครั้งล่าสุดจากเอสแอนด์พีที่ประกาศไปเมื่อวานนี้ ถือเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพการรวมกิจการ ความสำคัญของธนาคารภายหลังการรวมกิจการต่อระบบการเงิน และสถานะทางการเงินของธนาคารในด้านต่างๆ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งทหารไทยและธนชาตยังคงเดินหน้าร่วมกันตามแผนรวมกิจการได้เป็นอย่างดี เพื่อให้การรวมธนาคารเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนก.ค.2564 ขณะที่ด้านการดำเนินงานก็ทำได้ตามแผนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 เรื่องหลักซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธนาคารไม่ว่าจะเป็นการคงสภาพคล่องในระดับสูงด้วยการเติบโตเงินฝาก การเพิ่มคุณภาพงบดุลด้วยการลดยอดหนี้เสีย และการคงเงินกองทุนในระดับสูงมาโดยตลอด จึงมั่นใจได้ว่าธนาคารมีศักยภาพในการรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 ธนาคารทหารไทยและธนชาต ฐานเงินฝากเติบโตได้ 3.2% และลดอัตราส่วนหนี้เสียลงมาอยู่ที่ 2.34% ด้านความเพียงพอของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่งและสูงเป็นลำดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมธนาคารไทย โดยอัตราส่วน CAR และ Tier I อยู่ที่ 18.6% และ 14.6% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 11.0% และ 8.5% ตามลำดับ