CGS พบนักลงทุนฮ่องกงเมินหุ้นไทย เชียร์ 8 หุ้น-บล.กรุงศรีแนะ 8 ธีม

HoonSmart.com>>บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนลฯ พบนักลงทุนฮ่องกง 20-21 มี.ค.ส่วนใหญ่ยังคงลดน้ำหนักหุ้นไทยตามคาด มองเศรษฐกิจแนวโน้มอ่อนตัวและความไม่แน่นอนทางการเมือง เงินบาทอ่อนไม่คุ้มกำไรที่ได้จากซื้อขายหุ้น ตอนนี้มองเป็นโอกาสลงทุน จับตาธปท.ลดดอกเบี้ย 10 เม.ย.นี้  เงินบาทไม่อ่อนลงอย่างมีนัยสำคัญ หนุน SET ปรับตัวขึ้น คงเป้าสิ้นปี 1,650 จุด Top pick แนะ AMATA,BBL, BCH, CPALL, ERW, PTTEP, TU,SCB ส่วนบล.กรุงศรีฯแนะนำ 8 ธีม 

นาย เกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการและหัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์เรื่อง นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ได้พบในฮ่องกง วันที่ 20-21 มี.ค. 2567 ยังลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในตลาดหุ้นไทยตามคาด เนื่องจาก SET มีผลการดำเนินงานไม่ดีมาตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังคงอ่อนตัว รวมถึงการอ่อนค่าของเงินบาทและความไม่แน่นอนทางการเมือง

ขณะที่ลูกค้าบางส่วนเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 เม.ย. 2567 แต่กังวลเช่นกันว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง ซึ่งจะลบล้างผลกำไรที่ได้จากการซื้อขายหุ้นจากการลงทุนในประเทศไทย

นักลงทุนหลายรายกล่าวกับเราว่าการจะเปลี่ยนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นบวก ต้องการเห็นสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของไทยเพิ่มขึ้น, อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นบวกและอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้น โดยเราเชื่อว่าประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในปี 2567-2568  ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อรายเดือนอาจกลับมาเป็นบวกในเดือนมี.ค. หรือเม.ย. 2567  เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศน่าจะปรับเพิ่มขึ้น(ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นและหน่วยงานรัฐของไทยอาจปรับเพิ่มเพดานราคา) รวมถึงผลจากฐานที่ต่ำ สำหรับเงินปันผลเชื่อว่าจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัทและรัฐบาลน่าจะไม่บังคับให้บริษัทจ่ายเงินปันผลเพิ่ม

บล.ซีจีเอสฯมองว่าหาก ธปท.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยวันที่ 10 เม.ย. 2567 และเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้น  ซึ่งอาจดึงดูดให้มีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามามากขึ้น เพราะเชื่อว่านักลงทุนกังวลกับผลกระทบที่ตามมา (เช่นเงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่า) มากเกินไป คงเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2567  อยู่ที่ 1,650 จุด

“นักลงทุนกังวลมากเกินไปส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย underperform ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เราจึงมองว่าขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อหุ้นเพราะเชื่อว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการซื้อขายในตลาด ทำให้เรายังคงเป้าดัชนี SET สิ้นปีอยู่ที่ 1,650 จุด ซึ่งยังเท่ากับ P/E 16.3 เท่า ในปีFY68 หรือ -0.5SD ของค่าเฉลี่ยห้าปี  sentimentตลาดที่ดีขึ้นน่าจะดึงดูดให้มีเม็ดเงินจากต่างประเทศเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม มุมมองของเราอาจมี downside risk หากธปท. ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมกนง. สองสามครั้งหลังจากนี้และการที่รัฐบาลและธปท. ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับกรอบเวลาและอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับลดลง

ส่วนหุ้น Top pick  ประกอบด้วย AMATA(เป้า 30 บาท ),BBL (193 บาท), BCH (26.40), CPALL (73.50) , ERW (5.70) , PTTEP (189 บาท ), TU (17.30 บาท) และ SCB(145 บาท)  โดยชอบ AMATA มากกว่า WHA เนื่องจาก AMATA น่าจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงกว่าที่ 20.3% CAGR ในปี FY67-68 (WHA ที่ 10.8% CAGR) และประมาณการ presales ในปี 67-68 อาจมี upside จากโครงการ Smart City ในสปป.ลาว

สำหรับ CPALL เป็น Top pick ในกลุ่มค้าปลีกไทยเนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและกำไรสุทธิมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าคู่แข่ง (+21% ในปี FY67vs. ค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง 18%), และ การประเมินมูลค่ายังน่าสนใจที่ P/E ล่วงหน้าต่ำสุดในรอบ 8 ปี ส่วน PTTEP กำไรต่อหุ้นในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันและเราเชื่อว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่าคู่แข่ง

ด้านบล.กรุงศรี พัฒนสิน แนะนำธีม domestic play  มี 8 ธีม เช่น ปัจจัยขับเคลื่อน ส.ส. ผ่านร่างงบประมาณปี 2567  และวันที่ 26 มี.ค. จะเข้าสู่การพิจารณา ส.ว. และงบเริ่มเบิกจ่ายตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. หนุนภาพที่การจับจ่าย ลงทุนรัฐฯ ที่เป็นแรงกดดัน GDP ช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจะเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อน มอง SET ฟื้น กลุ่มนำตลาด คือ กลุ่มได้งบรัฐฯหนุน กลุ่มดอกเบี้ยขาลงหนุน กลุ่มอิงภาคบริการ กลุ่มเครื่องดื่ม (กรมอุตุเตือนสัปดาห์นี้ร้อน-ร้อนจัด ร้อนสุด 40 องศา) วันนี้แนะ ICHI, STEC, BE8 เด่น