HoonSmart.com>> กองทุนโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี พร้อมเทรด 24 ส.ค.นี้ ชูจุดเด่นลงทุนในสิทธิประโยชน์จากการประกอบกิจการจากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลของ “ผลิตไฟฟ้าครบุรี” รับรู้รายได้จากส่วนแบ่งรายได้ 62% ของรายได้ตามสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. และ “น้ำตาลครบุรี” รวม 25.5 เมกะวัตต์ ตลอดอายุสัญญาประมาณ 20 ปี พร้อมชูประมาณการจ่ายเงินปันส่วนแบ่งผู้ถือหน่วยลงทุนปีแรก 8.95% อัตราผลตอบแทนภายในประมาณ 7.00%
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (KBSPIF) ขนาด 2,800 ล้านบาท เตรียมนำหน่วยลงทุนเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรกในวันที่ 24 ส.ค.2563 ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพสินทรัพย์โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี (KPP) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มน้ำตาลครบุรี หนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของไทย
กองทุน KBSPIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ได้ปรับปรุงแล้ว โดยคาดว่ากองทุนฯ มีประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยสำหรับปีแรกอยู่ที่ 8.95% จากเงินปันผล 6.24% และจากเงินลดทุน 2.71% และมีประมาณการอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) อยู่ที่ประมาณ 7.00%
ทั้งนี้ กองทุน KBSPIF ได้เสนอขายหน่วยลงทุนให้แก่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย เมื่อวันที่ 4-7 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยเงินระดมทุนที่ได้ จะนำมาเข้าลงทุนในสิทธิประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของ KPP ที่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลของกลุ่มน้ำตาลครบุรี และกองทุนฯ จะมีรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ในอัตราร้อยละ 62 จากการจำหน่ายไฟฟ้าตามสัญญาประเภท Firm กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ ที่คิดอัตราค่าไฟฟ้า 2.0577 บาทต่อกิโลวัตต์ และกลุ่มน้ำตาลครบุรี จำนวน 3.5 เมกะวัตต์ ที่คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับ 2.90 บาทต่อกิโลวัตต์ เป็นระยะเวลาประมาณ 20 ปี ซึ่งจะทำให้มีความมั่นคงในกระแสเงินสด และรายได้ให้กับกองทุนฯ
นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย (KTB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า กองทุน KBSPIF มีจุดเด่นด้านโครงสร้างการแบ่งกระแสรายได้เข้ากองทุนรวมฯ มีความผันผวนต่ำจากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ กฟผ. และ KBS อีกทั้ง กองทุน KBSPIF ไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายการดำเนินงานโรงไฟฟ้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าซ่อมแซมและการบำรุงเครื่องจักรของโรงไฟฟ้า ส่งผลให้ กองทุน KBSPIF มีกระแสรายได้ที่มั่นคง
ประกอบกับกองทุนฯ ยังปิดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า อันได้แก่ กากอ้อย โดยการเข้าทำสัญญากับ KBS ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบมาป้อนให้แก่โรงไฟฟ้าตลอดอายุสัญญากองทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนฯ เข้าลงทุน จะมีวัตถุดิบที่เพียงพอสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่นักลงทุนได้ ได้ ทำให้ธนาคารได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุนเมื่อช่วงต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี (KBS) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายอย่างครบวงจร กล่าวว่า กลุ่มน้ำตาลครบุรี มีความเชื่อมั่นศักยภาพของสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของ KPP ที่กองทุน KBSPIF เข้าลงทุน และมั่นใจว่าโรงไฟฟ้าของ KPP จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนตลอดอายุสัญญา พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาด 18 เมกะวัตต์ และมีแนวคิดจะนำโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่เพื่อเข้าระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังการเสนอขายหน่วยลงทุน KBSPIF มีผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ บริษัท น้ำตาลครบุรี (KBS) ถือหน่วยลงทุน 15.00% บริษัท ไทยซัมซุงประกันชีวิต ถือ 6.07% และบริษัท กรุงเทพประกันชีวิต ถือ 5.36%