PTT คาดกำไรครึ่งปีหลังดีขึ้น จับมือ BANPU รุกธุรกิจก๊าซ

HoonSmart.com>>ปตท.ยอมรับปี 63 รายได้หดตัวเลขสองหลัก ราคาน้ำมันดิบฟื้นในกรอบ 40-45 เหรียญสหรัฐ ยันใช้เงินลงทุนทั้งปี 5.39 หมื่นล้านบาท ทบทวนแผน 5 ปีข้างหน้า (ปี 64-68) มุ่งโตมั่นคงและยั่งยืน ปรับองค์กร ออกแบบธุรกิจรองรับการเปลี่ยนแปลง หาโอกาสจากธุรกิจใหม่ ร่วมมือบ้านปูบุกธุรกิจก๊าซฯ- LNG ส่วน PTTGC ลุ้นครึ่งปีหลัง นี้ฟื้นตามราคาน้ำมัน 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) แถลงผลการดำเนินงานครึ่งปี 2563 ว่า แนวโน้มรายได้ในปีนี้จะลดลงเป็นตัวเลขสองหลัก (2 digit) จากปี 2562 ที่ทำได้ 2.2 ล้านล้านบาท หลังจาก 6 เดือนแรกมีรายได้จากการขายหดตัวถึง 26.4% อยู่ที่ 8.25 แสนล้านบาท แม้ว่า เศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบดูไบดีขึ้นจาก 40.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงครึ่งปีแรก โดยประมาณการว่าปีนี้จะอยู่ที่ 40-45 เหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนเฉลี่ย 63.5 เหรียญสหรัฐ ค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์อยู่ที่เฉลี่ย 0.5-1.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนราคาผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ คาดว่าจะลดลง 10-15% จากปีก่อน และราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ ลดลง 25-30% จากปีที่แล้ว

” ปตท.มีกำไรสุทธิ 1.05 หมื่นล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 81% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพราะทั้งกลุ่มปตท.มีผลขาดทุนจากสต็อกจำนวนมาก เจอแรงจากราคาน้ำมันดิบลงมาเหลือ10-20 เหรียญ ตอนนี้กลับไป 40 เหรียญ แนวโน้มครึ่งปีหลังดีขึ้น ตามปริมาณการขายและมาร์จิ้นแต่ยังต้องจับตาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า” นายอรรถพลกล่าว

ทั้งนี้ ในปี 2562 กลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้ให้รัฐทั้งในรูปเงินปันผลและภาษีเงินได้จำนวน 70,259 ล้านบาท และตั้งแต่ปี 2544-2562 นำส่งรายได้ให้รัฐรวมประมาณ 9.6 แสนล้านบาท

สำหรับการลงทุนในปีนี้ ปตท.มีแผนใช้เงินประมาณ 5.39 หมื่นล้านบาท ใช้ไปแล้วประมาณ 50% ส่วนที่เหลือจะใช้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2563-2567) ยังคงเดิมที่ 1.8 แสนล้านบาท แต่จะมีการทบทวนอีกครั้งสำหรับแผน 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) ซึ่งเบื้องต้นพอร์ตลงทุนส่วนใหญ่ประมาณ 40% ยังอยู่ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจใหม่ 10% และธุรกิจพลังงานทดแทนประมาณ 10% ทั้งนี้กลุ่มปตท.มีเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระดับ 8,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 จากกว่า 500 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน ร่วมกับบริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโซลาร์ฟาร์มที่อินเดียและไต้หวัน

นอกจากนี้ในช่วงต้นปี ปตท.และบริษัทบ้านปู (BANPU) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ ก๊าซฯ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มีการศึกษารูปแบบความร่วมมือทางธุรกิจคาดว่าจะมีความชัดเจนประมาณปลายปีนี้ถึงกลางปี 2564

นายออรรถพลกล่าวว่า ทิศทางธุรกิจและแผนการลงทุน เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ กลุ่ม ปตท. ได้ออกแบบธุรกิจรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดเป็น Next normal ทั้งธุรกิจปัจจุบันและโอกาสธุรกิจใหม่ รวม ถึงการลงทุนเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยปรับพอร์ตการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโต สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้พลังงานระยะยาวด้วยการขยายธุรกิจไปสู่การประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวครบวงจร เพื่อไปสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดก๊าซธรรมชาติเหลวของโลก ลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีด้านพลังงาน อาทิ ระบบกักเก็บพลังงาน แพลตฟอร์มอัจฉริยะในการบริหารจัดการพลังงาน และ สถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ร่วมกับพันธมิตร ได้ดำเนินการในเชิงพาณิชย์ แล้ว 2 แห่ง คือ ทรู ดิจิทัล พาร์ค และ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค รวมถึงมีแผนขยายเพิ่มเติมในพื้นที่ ที่มีศักยภาพต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศ

ด้าน นายจิตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัท คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น หลังจากเห็นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบอย่างชัดเจนในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.63 ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ 43-44 เหรียญสหรัฐ จากไตรมาส 2 ลงไปที่ 30.5 เหรียญ คาดว่าครึ่งปีหลังจะสามารถรักษาระดับไว้ที่ 42-45 เหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกันบริษัทได้ลดการผลิตน้ำมันอากาศยานลง และหันมามุ่งเน้นการผลิตน้ำมันดีเซล เพื่อจะรักษาระดับส่วนต่างผลิตภัณฑ์ (สเปรด) ได้ดี นอกจากนี้ราคาเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลิน (PE) ก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 920 เหรียญ/ตัน จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 700-800 เหรียญ/ตัน