MINT อ่วม Q2/63 ขาดทุน 8.4 พันลบ. ผู้บริหารมั่นใจผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

HoonSmart.com>>ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล พลิกขาดทุน 8,447 ล้านบาท ไตรมาส 2/63 ครึ่งปีทะลุ 1 หมื่นล้านบาท พิษ COVID-19 กระทบโรงแรม ร้านอาหาร บริษัทฯ มั่นใจไตรมาส 2 จุดต่ำสุดแล้ว เริ่มเห็นแนวโน้มฟื้นตัว บล.เอเซีย พลัส คาดไตรมาส 3/63 ยังไม่สดใส ราคาหุ้นขึ้นมาพอสมควร แนะ “switch”

ดิลลิป ราชากาเรีย

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 พลิกขาดทุนสุทธิ 8,447.64 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 1.9012 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,786.01 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.3155 บาท

ส่วนงวด 6 เดือนปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 10,221.16 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 2.3561 บาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,369.15 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.3713 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 โดยถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2563 จะลดลงเป็นผลขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญจากการระบาดของโรค COVID-19 แต่ MINT เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นที่จะนำธุรกิจกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 โดยเร็วที่สุด

การระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2/2563 เมื่อหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ได้มีการออกมาตรการการปิดประเทศอย่างเข้มงวด โดย MINT มีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 8.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 เทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2562

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานบนพื้นฐานการรายงานเดียวกันกับปีที่แล้ว บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน ซึ่งไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 6.9 พันล้านบาทในไตรมาส 2/2563 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เป็นบวกจำนวน 2.1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/2562 โดยการลดลงดังกล่าวเป็นผลโดยตรงมาจากการดำเนินธุรกิจอย่างจำกัดของทั้งสามธุรกิจของ MINT (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนเม.ย.และพ.ค.) เนื่องจากต้องปิดโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ทั่วโลกเป็นการชั่วคราว ในเดือนเม.ย.และพ.ค. รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของกลุ่มโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหารลดลง 99% และปรับตัวดีขึ้นเป็นลดลง 89% ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากโรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเพื่อที่จะปรับตัวกับการปิดให้บริการธุรกิจเหล่านี้

MINT ได้ดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรวดเร็วและเข็มงวด สามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 50% ในไตรมาส 2 ปี 2563 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2562 ส่งผลให้ MINT มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นในแต่ละเดือน จากผลขาดทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งนับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 2.8 พันล้านบาทในเดือนเมษายน เป็น 2.4 พันล้านบาทในเดือนพฤษภาคม และ 2.0 พันล้านบาทในเดือนมิถุนายน

สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 9.7 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 2.7 พันล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/2563 MINT มุ่งมั่นที่จะเร่งการกลับมาเปิดให้บริการธุรกิจในเครืออีกครั้งเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้นและประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการการปิดประเทศลง

แผนกลยุทธ์ของ MINT และการดำเนินการบริหารจัดการสภาพคล่องและฐานะทางการเงินในเวลาที่เหมาะสม เป็นบทพิสูจน์ของแผนการที่มีประสิทธิภาพของ MINT ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ในไตรมาส 2/2563 MINT ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่อง ด้วยการดำเนินมาตรการการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการลงทุน ณ สิ้นเดือนก.ค. MINT มีเงินสดในมือประมาณ 36 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจำนวน 26 พันล้านบาท ซึ่งรวมกันแล้วจะเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ ความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2563 ช่วยให้ฐานส่วนของผู้ถือหุ้นของ MINT แข็งแกร่งขึ้นถึงแม้ว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงานในช่วงไตรมาสดังกล่าว ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 1.61 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 เป็น 1.64 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 อีกทั้ง เมื่อช่วงต้นไตรมาส 3/2563 MINT ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกจำนวน 5 พันล้านบาทในช่วงสามปีข้างหน้า ดังนั้น MINT จึงคาดว่าแผนการระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จดังกล่าวจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากสภาวะตลาดที่ท้าทายต่อไปในอนาคต

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อหลายประเทศเริ่มเปิดพรมแดน ด้วยมาตรการการปิดประเทศที่ผ่อนคลายลง และเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ MINT จึงได้กลับมาดำเนินธุรกิจทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ 70 ของโรงแรมทั้งหมดทั่วโลก และมากกว่าร้อยละ 90 ของร้านอาหารทั้งหมดได้กลับมาเปิดให้บริการ และมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในแต่ละสัปดาห์ ทั้งนี้ MINT มีเป้าหมายที่จะกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมและร้านอาหารทั้งหมดภายในไตรมาส 4 ปี 2563 และจะผลักดันยอดขายเชิงรุก

ในขณะที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์เฉพาะหน้าของไมเนอร์ โฮเทลส์คือการมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวภายในประเทศที่แข็งแกร่งในช่วงที่มีการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ ตามด้วยการเพิ่มจำนวนแขกเข้าพักจากนักท่องเที่ยวภายในภูมิภาคเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มเปิดประเทศ และขยายตัวไปยังนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ ไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มดิจิทัลและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารเพื่อผลักดันยอดขาย โดยต่อยอดจากแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของยอดขายผ่านทางแพลตฟอร์มดังกล่าวในช่วงการปิดประเทศจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในขณะที่ยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารภายในร้านอาหารของลูกค้าและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การเปิดตัว “Cloud Kitchens” ในช่วงไตรมาสดังกล่าวนับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของไมเนอร์ ฟู้ดในการขยายพื้นที่การให้บริการของแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวว่า ไตรมาส 2 เป็นไตรมาสที่ท้าทายที่สุด ไม่เพียงแต่สำหรับ MINT เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในภาคการบริการและการท่องเที่ยวทั่วโลก MINT มีความผิดหวังกับผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้ แต่บริษัทได้มีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน โดยบริษัทมีการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานในช่วงเวลาอันท้าทายนี้

“ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงินและรักษากระแสเงินสด โดยบริษัทเชื่อว่าเราได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดมาแล้ว และเมื่อสถานการณ์ของโลกดีขึ้น MINT มีความมุ่งมั่นที่จะกลับมาสร้างการเติบโตของธุรกิจ และกลับมาสร้างผลตอบแทนเชิงบวกให้กับผู้ถือหุ้นอีกครั้ง” นายดิลลิป กล่าว

ด้านบล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า MINT หากตัดรายการพิเศษ มีผลขาดทุนปกติตามคาดฝ่ายวิจัย 7.1 พันล้านบาท (ตลาดคาด 6.47 พันล้านบาท) จากที่มีกำไรปกติ 2 พันล้านบาทในงวด 2Q62 สาเหตุจากรายได้หดตัว 79 % yoy ผลกระทบจากการปิดโรงแรมเกือบทั้งหมดและธุรกิจร้านอาหารในไทยได้รับผลกระทบจากการห้ามรับประทานอาหารภายในร้าน ขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายราว 50% เป็นต้นทุนคงที่ ส่งผลให้ MINT มีผลขาดทุนขั้นต้นราว 1.5 พันล้านบาท พลิกจากกำไรขั้นต้น 1.4 หมื่นล้านบาท ช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงสัดส่วน SG&A/Sales เร่งตัวเป็น 73.7% จาก 36.1% ในช่วง 2Q62

แนวโน้มไตรมาส 3/63 ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 แต่คาดขาดทุนจากการดำเนินงานลดลง จากการกลับมาทยอยเปิดโรงแรม ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารประเมินฟื้นตัวจากการเปิดให้นั่งรับประทานอาหารภายในร้าน แต่ฝ่ายวิจัยประเมินการดำเนินงานจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังกำลังซื้อทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว

บล.เอเซีย พลัส ให้ราคาเหมาะสม ปี 2563 ที่ 16 บาท และปี 2564 ที่ 22 บาท แม้มีโอกาสผ่านจุดต่ำสุด แต่ราคาปรับตัวตอบรับการฟื้นตัวในอนาคตมากพอสมควร จึงคงแนะนำ SWITCH