HoonSmart.com>> หุ้น SICT น้องใหม่ตลาดเอ็มเอไอ ราคาเปิดซิลลิ่งเป็นวันที่สอง บวก 14.95% แตะ 4.76 บาท จาก IPO หุ้นละ 1.38 บาท
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SICT (ซิลิคอน คราฟท์ เทคโนโลยี) วันที่ 31 ก.ค.2563 เป็นวันที่สองหลังจากหุ้นเข้าซื้อขายในตลาด mai ราคาเปิดซิลลิ่งทันที 4.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 14.98% มูลค่าการซื้อขาย 22.15 ล้านบาท จากราคาเสนอขายครั้งแรกให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ราคาหุ้นละ 1.38 บาท
SICT เป็นผู้วิจัย พัฒนาไมโครชิพ และว่าจ้างผลิตเพื่อจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า “SIC” โดยแบ่งสินค้าได้ 3 กลุ่มหลัก 1) ไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจสำรองอิเล็กทรอนิกส์ของยานยนต์ 2) ไมโครชิพสำหรับระบบลงทะเบียนสัตว์ และ 3) ไมโครชิพสำหรับระบบเข้า-ออกสถานที่ และระบบการอ่านข้อมูล โดยเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 100 ล้านหุ้น โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและมีบล.ไอร่า เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยว่า ธุรกิจของ SICT เป็นธุรกิจที่หาตัวเปรียบเทียบได้ยาก การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นของบล.ทิสโก้ จึงเลือกใช้หุ้นในกลุ่ม TECH (MAI) เป็นตัวเปรียบเทียบแทน โดยมีค่า Median ที่ประมาณ 15.6 เท่า และ Mean ที่ 19 เท่า และหากใช้เป้าหมายการเติบโตเป็นเท่าตัวภายใน 4 ปีของผู้บริหารจะคิดเป็นการเติบโตประมาณ 15% ทำให้จะมีมูลค่าที่เหมาะสมเบื้องต้นที่ 1.70 – 2.00 บาท
“เราชอบธุรกิจของบริษัทที่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่น การทำ Tag ลงทะเบียนสัตว์ ที่ในอนาคตจะได้ประโยชน์ หากมีการใช้ Blockchain เข้ามาในธุรกิจอาหารเพื่อเพิ่มมาตรฐานด้านความปลอดภัย รวมไปถึงการใช้ไมโครชิพในอุตสาหกรรมต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความเสี่ยงในด้านของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนาที่ไม่สามารถนำมาผลิตเชิงพาณิชย์ได้ รวมไปถึงรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากต่างประเทศ ทำให้ค่าเงินเป็นความเสี่ยงสำคัญ”บล.ทิสโก้ ระบุ
ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ราคาเป้าหมาย SICT อยู่ที่ 2 บาท ด้วยวิธี GGM โดยใช้ ROE ปี64F 13.2%, COE 8%, LTG 4.5% ได้ 2.50 เท่าของ Forward BV64F ซึ่งอยู่ที่ 0.79 บาท จะได้ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 2.00 บาท เทียบเท่า Implied P/E 64F ที่ 19.40 เท่า ใกล้เคียงกับค่า PER เฉลี่ยของหุ้นในกลุ่ม MAI
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มอง SICT ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะมีคู่แข่งทั่วโลกเพียง 8 ราย บริษัทนับเป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวในไทยที่มีการรับผลิตและออกแบบไมโครชิพเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ไม่มีคู่แข่งโดยตรงในประเทศไทย คู่แข่งต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจและจำหน่ายสินค้าใกล้เคียงกับริษัทมีเพียง 8 ราย ใน 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย สวิสเซอร์แลนด์ 2 ราย ฝรั่งเศส 1 ราย สาธารณรัฐประชาชนจีน 3 ราย โดยรายได้หลักมาจากส่งออกไมโครชิพเข้ารหัสความปลอดภัยสำหรับระบบกุญแจรถยนต์ ไมโครชิพสำหรับระบบเข้า-ออกสถานที่และระบบการอ่านข้อมูล รวมถึงไมโครชิพแท็กลงทะเบียนสัตว์ด้วยระบบ RFID ซึ่งออสเตรเลียบังคับใช้กับวัวและแกะ จึงยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
นอกจากนี้คาดกำไรปี 2563 เติบโต 33.8% และเติบโตต่อเนื่องอีก 23.4% ในปี 2564 คาดการณ์ยอดคำสั่งที่รับรู้รายได้ในปี 2563 แน่นอนแล้ว 225.5 ล้านบาท ช่วงที่เหลือของปีคาดจะมีคำสั่งเข้ามาอีกทั้ง ไมโครชิพสำหรับระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ ตามจำนวนรถยนต์เก่าที่เพิ่มขึ้นในแถบยุโรป และไมโครชิพแท็กลงทะเบียนสัตว์เพิ่มตามจำนวนแกะและวัวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในออสเตรเลีย คาดหนุนให้กำไรปี 2563 เติบโตถึง 33.8% จากปี 62 มาอยู่ที่ 33 ล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องอีก 17.9% ในปี 2564
อ่านข่าว