ทริสฯ ลดเครดิต GRAND เป็น BB- ห่วงหนี้บาน ปี 63 ขาดทุนหนัก

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งลดเครดิตบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้เป็น “BB-” จาก “BB” แนวโน้ม “ลบ” รายได้โรงแรม-อสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบรุนแรงจากโควิด  คาดปีนี้ขาดทุน ปีหน้าฟื้นตัวขึ้นได้ 50% ของปี 62  ภาระหนี้สินสูง สภาพคล่องตึงตัว  มีหนี้ใกล้ครบชำระ 1,840 ล้านบาท ห่วงเงื่อนไขการเงิน ต้องขายโรงแรมรอยัล ออคิดให้ได้ตามแผน 6-9 เดือน 

บริษัททริสเรทติ้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “ลบ” แก่อันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) และปรับลดอันดับเครดิตองค์กร เป็น “BB-” จากระดับ “BB” ในขณะเดียวกันยังกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “ลบ” ด้วย

การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนความกังวลถึงการที่บริษัทยังคงมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงอย่างต่อเนื่อง ระดับหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด 19 ต่อการสร้างรายได้ในอนาคต รวมถึงยอดขายที่ล่าช้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” สะท้อนถึงมุมมองของทริสฯต่อสถานะเครดิตของบริษัทที่จะยังคงได้รับความกดดันในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานยังคงไม่แน่นอน รวมถึงการคาดการณ์ที่บริษัทจะขาย บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) ได้ตามแผน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 6-9 เดือน จะช่วยลดผลกระทบทางลบต่องบดุลของบริษัทจากการคาดการณ์ถึงผลขาดทุนในปีนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนคุณภาพที่ดีของโรงแรม และประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยธุรกิจโรงแรมมีการแข่งขันสูงและอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้รวมถึงความผันผวนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังส่งผลต่ออันดับเครดิตด้วย

ทริสฯคาดว่าผลการดำเนินงานของโรงแรม จะได้รับผลกระทบอย่างมากในปี 63 แต่จะฟื้นตัวในปี 64-65  ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานคาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ของโรงแรมแต่ละแห่งของบริษัทจะลดลงประมาณ 60% ในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นในปี 2564 โดยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 30% ซึ่งต่ำกว่าปี 2562 และปี 2565 จะอยู่ระดับที่ระดับประมาณ 5%-8% ซึ่งต่ำกว่าปี 2562 เช่นกัน

บริษัทมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ 2 โครงการคือ คอนโดมิเนียมไฮด์ สุขุมวิท 11 มียอดขายที่ค่อนข้างช้าคาดจะลดลงที่ระดับ 1 พันล้านบาทในช่วงปี 63-64และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปี 65 และโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-used) ในจังหวัดระยอง คาดว่ารายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะลดลงที่ระดับ 200 ล้านบาทในปี 63 และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาทต่อปี ในปีช่วงปี 64-65

นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมลงทุนในกิจการร่วมค้า 2 แห่งเพื่อพัฒนาโครงการคอนมิเนียมจำนวน 2 โครงการ เบื้องต้นคาดว่าโครงการ “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 ปัจจุบันยอดขายล่วงหน้าล่าช้ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่ โครงการ “ไฮด์ ริเวอร์ เบย์” จะแล้วเสร็จในปี 2566

บริษัทมีหนี้สินอยู่ในระดับสูง อัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้ว อยู่ในระดับสูงที่ 11.5 เท่าในปี  62 โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะปรับตัวเป็นลบในปี 63 และในปี 64 จะปรับตัวเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของปี 2562 ในขณะเดียวกัน ภาระหนี้สินจะปรับเพิ่มขึ้นจากกระแสเงินสดออกจากการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม  บริษัทจะสามารถขายบริษัทโรงแรมรอยัล ออคิด ฯได้ตามแผน ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ทางการเงินจะอยู่ที่ระดับ 18 เท่าในปี 64 และ 10 เท่าในปี 65 โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนในธุรกิจโรงแรมและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่มูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาทสำหรับ 3 ปีข้างหน้า

บริษัทมีเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินซึ่งมีเงื่อนไขให้บริษัทรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อทุนที่ระดับไม่เกิน 2.50 เท่า โดย ณ สิ้นปี 2562 บริษัทสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้โดยมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.58 เท่า แต่หากบริษัทมีผลการดำเนินงานทางการเงินอ่อนแอเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้อาจจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นใกล้หรือเกินระดับของเงื่อนไขที่ 2.50 เท่า ยกเว้นว่าบริษัทสามารถขายบริษัทโรงแรมรอยัล ออคิด ฯได้ตามแผน

บริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัว ณ เดือนมี.ค.63 บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบไปด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1.17 พันล้านบาท และมีเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 480 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารจำนวน 1.74 พันล้านบาท คาดว่าจะเพียงพอต่อการใช้เงินทุนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระใน 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยภาระหนี้ระยะยาวจำนวน 1.55 พันล้านบาทและภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 290 ล้านบาท ในปี 63 คาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดออกจากการดำเนินงานประมาณ 1 พันล้านบาท ประกอบกับแผนในการลงทุนประมาณ 383 ล้านบาท ในปี 64 การใช้เงินทุนมีการชำระคืนหนี้จำนวน 2.9 พันล้านบาทและงบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท