MINT ชี้ธุรกิจเริ่มฟื้น “รีโอเพนนิ่ง” เร็วกว่าคาด โรงแรมเปิดบริการ 69%

HoonSmart.com>> “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” เผยธุรกิจ “รีโอเพนนิ่ง” เร็วกว่าคาดหลังโควิด-19 คลี่คลาย หลายภูมิภาคเห็นสัญญาณบวก โรงแรมเปิดให้บริการแล้ว 69% ตั้งเป้าเปิดกว่า 90% ในเดือนก.ย. ด้านร้านค้าเกือบทั้งหมดเปิดบริการตั้งแต่เดือนพ.ค. กำเงินสด-วงเงินสินเชื่อรวมกว่า 7 หมื่นล้านบาท เพียงพอต่อการดำเนินงานในอนาคต

ดิลลิป ราชากาเรีย

มร. ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า MINT คิดว่า สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว การระบาดของโควิด-19 ในหลายภูมิภาคมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลในหลายประเทศได้กลับมาเริ่มดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจ โดย MINT ได้มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับการแข่งขันและกลับมาดำเนินธุรกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งนี้ทุกธุรกิจของ MINT เริ่มมีการฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม โดยโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์รวมกันกลับมาเปิดให้บริการ (Reopening) แล้วเป็นส่วนใหญ่ และมีแนวโน้มทางธุรกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละเดือน กลยุทธ์การกลับมาดำเนินธุรกิจของ MINT ทั่วโลกนั้น จะกลับมาเปิดให้บริการเฉพาะโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าไลฟ์สไตล์ที่มีจำนวนลูกค้าเพียงพอที่จะสร้างผลกำไรหรือทำให้มีกระแสเงินสดเป็นบวกเท่านั้น

มร. ดิลลิป กล่าวต่อว่า โรงแรมในประเทศไทยของ MINT เริ่มทยอยกลับมาเปิดแล้ว โดยเริ่มด้วยการเปิดให้บริการโรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงแรมต้นแบบของไมเนอร์ โฮเทลส์ ในช่วงเดือนพฤษาภาคม โรงแรมในหัวหินมีผลการดำเนินงานที่ดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศที่สูง นอกจากนี้ โรงแรมบางแห่งในเมืองสำคัญต่างๆ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย พัทยา และขอนแก่น ได้กลับมาเปิดให้บริการต่อมาในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม และเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ และร้านอาหารซูมาที่มีชื่อเสียงได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง

นอกจากนี้ ทางบริษัทคาดว่ามาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งรวมถึงโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของโรงแรมดังกล่าวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563

ในขณะที่ธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปเริ่มมีสัญญานบวกที่เห็นได้ชัด ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปเริ่มเปิดพรมแดนให้สำหรับประเทศที่ไม่ได้อยู่ในทวีปยุโรป โดย MINT คาดว่าเกือบร้อยละ 75 ของโรงแรมทั้งหมดในทวีปยุโรปจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม และโรงแรมทั้งหมดจะกลับมาเปิดภายในเดือนกันยายนของปี 2563

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลล่าสุดพบว่าร้อยละ 68 ได้กลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เร็วกว่าแผนที่เคยได้วางไว้ โดยในยุโรปกลาง โดยเฉพาะประเทศเยอรมนี มีการฟื้นตัวทางธุรกิจที่เร็วมาก เนื่องจากมีการอนุญาตให้เดินทางภายในประเทศได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้ร้อยละ 88 ของโรงแรมทั้งหมดในยุโรปกลางได้กลับมาเปิดให้บริการแล้ว

ส่วนในประเทศสเปนและอิตาลี เริ่มเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจด้วยการกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมถึงร้อยละ 70 และ 66 ตามลำดับ ทั้งนี้โดยเมื่อมีการผ่อนปรนให้สามารถเดินทางระหว่างประเทศภายในทวีปยุโรปได้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ธุรกิจโรงแรมในทวีปยุโรปเริ่มมีผลการดำเนินงานดีขึ้น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวภายในทวีปยุโรปมีสัดส่วนร้อยละ 75-80 ของจำนวนแขกที่เข้าพักทั้งหมด

มร.รามอน อาราโกเนส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป กล่าวว่า ไตรมาส 2 ถือเป็นไตรมาสที่ทางโรงแรมจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีมาตรการล็อกดาวน์ทั่วทั้งทวีปยุโรปในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่รุนแรงดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว และถือเป็นที่โชคดีว่าแผนโครงสร้างต้นทุนที่ยืดหยุ่นที่ทางบริษัทนำมาใช้ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลประกอบการของบริษัทกลับมาฟื้นได้ค่อนข้างรวดเร็วตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยโรงแรมในยุโรปจะได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเข้าสู่ช่วงวันหยุดฤดูร้อน ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวในยุโรปเยอะขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจ urban leisure กระเตื้องขึ้น โดยเฉพาะในประเทศสเปนที่มีอัตราการเข้าพักในปัจจุบันสูงถึงร้อยละ 40-50 แล้ว ทางบริษัทเชื่อมั่นว่าจะเริ่มเห็นสัญญานบวกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีกตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

“ทางผู้บริหารมั่นใจว่าการฟื้นตัวของ เอ็นเอช โฮเทล จะใช้ระยะเวลาไม่มาก โดยวิกฤติครั้งนี้เปรียบเสมือนพายุเฮอริเคนเคลื่อนเข้าโหมกระหน่ำเมืองทั้งเมือง เอ็นเอช โฮเทล เป็นตึกที่แข็งแกร่งตึกหนึ่งในเมือง ซึ่งอาจจะได้รับแรงสั่นสะเทือนจากพายุในครั้งนี้ แต่ด้วยรากฐานที่มั่นคงทำให้ตึกนั้นอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน”มร.รามอน กล่าว

ด้านการดำเนินงานของ ไมเนอร์ ฟู้ด การดำเนินงานในประเทศไทย เกือบร้อยละ 95 ของสาขาร้านอาหารทั้งหมด 1,490 แห่งทั่วประเทศกลับมาเปิดให้บริการ โดยนับตั้งแต่กลับมาเปิดสาขา ยอดขายของแบรนด์ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 รวมถึงจะยังคงมุ่งเน้นไปที่นโยบายการผลักดันการขายผ่านบริการจัดส่งอาหารและซื้อกลับบ้านซึ่งเป็นที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การดำเนินงานในต่างประเทศนั้นมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเทศจีน ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ของสาขาร้านอาหารทั้งหมดได้เปิดให้บริการตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม และมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์โรคระบาดที่คงที่และปรับตัวดีขึ้น โดยยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับในทุกสัปดาห์ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าประมาณการในสถานการณ์ที่ดีที่สุด (Best-Case Scenario) และกลับมามีกำไรในระดับร้านสาขาในเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบสองมีผลกระทบเพียงชั่วคราวในพื้นที่วงจำกัดในประเทศจีนเท่านั้น โดยคาดว่าการดำเนินงานในประเทศจีนจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคม

มร.ดิลลิป กล่าวว่า MINT ให้ความสําคัญในการรักษากระแสเงินสดและสภาพคล่อง โดยบริษัทมีเงินสดในมือและวงเงินสินเชื่อของทั้ง MINT และ NH รวมทั้งหมดจํานวนกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอต่อการดำเนินงานในอนาคต และจากแผนการระดมทุนแบบเบ็ดเสร็จจำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท MINT ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ที่มีลักษณะคล้ายทุนจำนวน 300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.5 พันล้านบาท ในขณะเดียวกัน MINT อยู่ในระหว่างการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนโดยการจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน และการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวนรวม 1.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ แผนการระดมทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ รวมถึง MINT มีมาตรการการลดต้นทุน ในทุกหน่วยธุรกิจของทุกภูมิภาคทั่วโลก เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรให้น้อยที่สุด ซึ่งแผนการนี้เป็นแผนต่อเนื่องที่บริษัทได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถลดจุดคุ้มทุน ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นตัวของบริษัทเป็นไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น