MINT เคาะราคาหุ้นเพิ่มทุนสัปดาห์นี้ ชูธุรกิจฟื้น ถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น

HoonSmart.com>>ไมเนอร์ฯมั่นใจเพิ่มทุนขายเกลี้ยง ราคามีส่วนลด 15% แจก MINT-W7 ธุรกิจฟื้นเร็วเกินคาด ยอดจองโรงแรมในประเทศ-ยุโรป กลยุทธ์ลดค่าใช้จ่าย 25-30% หนุนรายได้ถึงจุดคุ้มทุน-กระแสเงินสดเป็นบวกได้เร็วขึ้น ปรับตัวรองรับความต้องการ “work from hotel” เงินเพิ่มทุน ขายหุ้นกู้รวม 2 หมื่นล้านบาทรับมือโควิดระบาดรอบสองไหว หากรุนแรงเตรียมแผนรับมือ  ขายทรัพย์สิน ยกดีลโรงแรมโปรตุเกสและเช่ากลับบริหาร โกยกำไร 4,700 ล้านบาท มีเงินลดหนี้

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า ผู้ถือหุ้นได้รับการอนุมัติทุกวาระ บริษัทจะดำเนินการเรื่องการเพิ่มทุนจดทะเบียน  การเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 1,037,955,941 หุ้น จะประกาศราคาขายหุ้น ก่อนวันที่ขึ้นเครื่องหมาย XR 26 มิ.ย. เพื่อให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิมที่มีชื่อในทะเบียน 29 มิ.ย.นี้ จองซื้อหุ้นในอัตราส่วน 6.45 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาเฉลี่ย 7-15 วันและมีส่วนลด15% และยังได้ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นครั้งที่ 7 (MINT-W7) ด้วย อายุ 3 ปี ราคาแปลงสภาพเป็นหุ้น บวกไม่เกิน 10 % เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน

ทั้งนี้เงินที่จะระดมได้ 1 หมื่นล้านบาท และออกหุ้นกู้อีก 1 หมื่นล้านบาท เพียงพอสำหรับการรับมือ กรณีโควิด-19 เกิดการแพร่ระบาดรอบสอง เพราะมีเงินสดในมือ 2 หมื่นล้านบาท ไม่รวมการสนับสนุนจากสถาบันการเงินอีกมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท พร้อมจ่ายดอกเบี้ยให้กับหุ้นกู้ทุกรุ่น

นอกจากนี้ สถานการณ์ธุรกิจฟื้นตัวเร็วเกินคาด เริ่มจากธุรกิจอาหารในจีนที่ผ่อนคลายการล็อกดาวน์ก่อนเป็นประเทศแรกๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผลดำเนินงานโดยรวมฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เพราะโรงแรมยังไม่สามารถเปิดให้บริการหลายประเทศ แต่เมื่อประเทศไทยและต่างประเทศทยอยการผ่อนคลายเห็นการฟื้นตัว เช่น โรงแรมในต่างจังหวัดมียอดจองเข้ามามาก  ธุรกิจโรงแรมในยุโรปก็ดีขึ้น  เพราะตลาดหลักมาจากลูกค้าภายในประเทศสูงถึง 60% และมาตรการเปิดการเดินทางท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศยุโรปจะทำให้สัดส่วนกลุ่มลูกค้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 70-75% เมื่อรวมกับมาตรการลดค่าใช้จ่ายทุกหน่วยธุรกิจลงประมาณ 25-30% จากรายจ่ายของปี 2562 ที่ผ่านมา  ทำให้รายได้ถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น กระแสเงินสดเป็นบวก เช่นธุรกิจโรงแรม อัตราเข้าพักประมาณ 35-40% ก็เพียงพอคุ้มทุน  ไม่ต้องมากถึง 50-60% เหมือนที่ผ่านมา คาดว่ารายได้จะดียิ่งขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังต้องปรับตัวตามความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป  เชื่อว่ายังมีบางธุรกิจจำเป็นต้องทำงานในบริษัท ในการพบปะลูกค้า ส่วนธุรกิจโรงแรม บริษัทพยายามศึกษาแนวโน้มของตลาด เช่น work from hotel จากการไปพักผ่อนต้องใช้โรงแรมเป็นที่ทำงาน ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมารองรับ ส่วนร้านอาหารที่เปิดเป็นสาขาขนาดเล็ก ก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่เปิดใหญ่โตเหมือนในอดีต

นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นอย่างไร ยังมองไม่ชัด ตัวแปรคือสถานการณ์โควิด และปัจจัยแวดล้อม ตลาดการท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นขึ้นมาแค่ไหน  อย่าไรก็ตามหากสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดหรือเกิดเหตุการณ์รุนแรง บริษัทเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการขายทรัพย์สิน  เมื่อปี 2562บริษัทได้ขายโรงแรมโปรตุเกส 3 แห่งและเช่ากลับมาบริหาร มีรายได้เหมือนเดิม มีกำไรถึง 4,700 ล้านบาท มีเงินมาลดภาระหนี้ลงได้