ทริสคงเครดิต BFITที่ BBB+ ธุรกิจพัฒนาดี-กำไรแกร่ง

HoonSmart.com>>บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ รักษาอันดับเครดิตที่ “BBB+” ทริสประเมินจากบริษัทเป็นธุรกิจหลักของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น ฐานเงินทุนและกำไรโตต่อเนื่องหนุนเรทติ้งอีก 2-3 ปี

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ (BFIT) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต”คงที่” สะท้อนสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทลูกที่เป็นธุรกิจหลักของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น (SAWAD)

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนฐานเงินทุนและความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแรง รวมถึงสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งคาดว่าปัจจัยเหล่านี้สนับสนุนอันดับเครดิตต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ณ เดือนมี.ค. 2563 ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทคิดเป็น 49% ของยอดสินเชื่อคงค้างของกลุ่มตามงบการเงินรวม ผลกำไรยังคิดเป็น 34% ของกำไรสุทธิของกลุ่มในไตรมาสแรกของปี 2563

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความเสี่ยงจากการมีสินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันจำนวนมาก รวมทั้งคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม และความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่อยู่ในระดับปานกลางของบริษัท   เมื่อสิ้นปี 2562 สินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันมีสัดส่วนคิดเป็น 36% ของยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทซึ่งอยู่ที่จำนวนราว ๆ 1.9 หมื่นล้านบาท ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องอาจเกิดขึ้นได้จากการที่กระบวนการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดในกรณีผิดนัดชำระหนี้ของอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้เวลานาน

ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกหนี้อาจทำให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวของลูกหนี้อาจบรรเทาลงได้จากการที่บริษัทมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่มีขนาดเล็กกว่า (ต่ำกว่า 10 ล้านบาท) แต่ทริสก็มองว่าความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ในกลุ่มดังกล่าวที่มีค่อนข้างมากนี้ถือเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิต

การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตในไตรมาสแรกของปี 2563 ยังส่งผลให้อัตราส่วนความครอบคลุมของค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.3% ณ เดือนมีนาคม 2563 จากระดับ 67.1% ในปี 2562 อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนดังกล่าวให้อยู่ในระดับประมาณ 50%-70% ได้ตามแนวทางการบริหารงานของกลุ่ม