HoonSmart.com>> “อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” CEO “เจมาร์ท” พร้อม “เอกชัย สุขุมวิทยา” เข้าซื้อหุ้นในตลาดกว่า 27 ล้านหุ้น ราคา 8.15 – 9.22 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นในกลุ่มธุรกิจ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท (JMART) ในฐานะโฮลดิ้ง คอมพานี ที่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจการเงิน เปิดเผยว่า กลุ่มเจมาร์ทมีพลัง Synergy ที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง จากธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และมุ่งหวังขยายในธุรกิจด้านการเงิน โดยนำเทคโนโลยีและบล็อกเชนเข้ามาสนับสนุน สร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เพื่อการเติบโตในระยะยาวไปอีกเป็น 10 ปี
จากก่อนหน้านี้ บริษัทฯ พยายามรวบรวมพละกำลัง รวบรวม SYNERGY มุ่งหวังสร้าง Ecosystem ของกลุ่มเจมาร์ทในแบบที่ไม่มีธุรกิจไหนมี และวันนี้ กลุ่มเจมาร์ทมีไลเซ่นพื่อทำธุรกิจการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยเกือบครบแล้ว และล่าสุดมีพาร์ทเนอร์จาก KB Kookmin Card Co., Ltd บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ของเกาหลีใต้เข้ามาเสริมกำลัง จะเพิ่มศักยภาพธุรกิจการเงินของเจมาร์ทอย่างมืออาชีพ
“เรามีสาขาที่แข็งแรง และมีแขนขาจากตัวแทนขายซิงเกอร์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมถึงความเชื่อในเรื่องเทคโนโลยี และบล็อกเชน จะเข้ามาผลักดันแผนนี้ให้เป็นไปตามที่วางไว้ เหมือนถนนที่ถูกสร้างขึ้น และมีรถที่พร้อมจะวิ่ง เราสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ไว้พร้อมหมดแล้ว ผมว่าหลังจากนี้จะเป็นอีกหนึ่งแชปเตอร์ของเรา ที่พร้อมจะสร้างความโดดเด่นในธุรกิจการเงิน เพราะไม่ว่าจะกลุ่มธุกิจไหนก็ตาม ทุกบริษัทไม่มีเจเอ็มที ซึ่งถือเป็นหัวใจในการทำธุรกิจการเงิน วันนี้เราจึงพร้อมที่จะออกรบ เพราะเราเชื่อในทุกๆบริษัทที่จะ SYNERGY ร่วมกัน เพื่อสร้างสถิติใหม่ๆให้กลุ่มเจมาร์ท” นายอดิศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2563 นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ซื้อหุ้นรวม 19,237,500 หุ้น นายเอกชัย สุขุมวิทยา ซื้อหุ้นรวม 7,819,479 หุ้น รวมทั้งหมดจำนวน 27,056,979 หุ้น ในช่วงราคาระหว่าง 8.15 – 9.22 บาท
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนเมษายน ราคาหุ้นปรับตัว เพิ่มขึ้น 52.29% จากราคาปิดตลาดวันที่ 1 เมษายน 2563 ราคาหุ้นอยู่ที่ 5.45 บาท ในวันที่ 30 เมษายน 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.30 บาท โดยราคาสูงสุดดือนเมษายนแตะที่ 8.50 บาท และต่ำสุดที่ 5.45 บาท
ขณะที่ เดือนพฤษภาคม ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.48% จากวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 ราคาปิดตลาดที่ 8.20 บาท วันที่ 29 พฤษภาคม 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8.65 บาท โดยราคาสูงสุด ที่ 8.95 บาท ต่ำสุดที่ 7.65 บาท ซึ่งต้นเดือนมิถุนายน ราคาขึ้นแตะราคาสูงสุดที่ 9.80 บาท