เตือนมิ.ย.ระวังติดดอย เน้นหุ้นชัวร์ ปันผลสูง

HoonSmart.com>>หุ้นไทยไปต่อลำบาก ดัชนีพุ่งแรง 32% จากฐานต่ำมี.ค. เทรดที่ P/E 21 เท่าแพงที่สุดในโลกเป็นรองแค่สหรัฐ สกิดลดพอร์ต ใกล้ปรับฐาน บล.เอเซียพลัสให้เป้าปีนี้เพียง 1,164 จุด กลยุทธ์เดือนมิ.ย.เฟ้นพื้นฐานแกร่งปันผลสูง 6 ตัว ADVANC -BDMS- BCPG -PTT- TTW-TVO หลีกเลี่ยง DELTA มีโอกาสหลุด SET100, 50  และ LPN แพงเกินไป บล.กรุงศรีแนะDTAC-INTUCH-TTW -PTTGC-TOP บล.บัวหลวงให้มองข้ามปีหน้า เลือกหุ้นขึ้นไม่มาก แบงก์-อสังหาริมทรัพย์-ยานยนต์ บล.โนมูระพัฒนสินย้ำลดพอร์ตเหลือ 30% เงินบาทแข็งค่าในรอบ 4 เดือน ธปท.คาดเงินมาพักในไทย

ตลาดหุ้นวันที่ 1 มิ.ย. 2563 ดัชนีเดินหน้าต่อตามภูมิภาค ขึ้นไปสูงสุด 1,362.46 จุด ก่อนเจอแรงขายทำกำไร ปิดที่ระดับ 1,352.37 จุด+9.52 จุดหรือ +0.71% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 65,154.66 ล้านบาท จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ 1,393 ล้านบาท และสถาบันไทย 1,398 ล้านบาท ส่วนรายย่อยขาย 3,208 ล้านบาท

ทั้งนี้ต่างชาติซื้อหุ้นไทยติดต่อเป็นวันที่สอง หลังจากทิ้งมานานรวมมากถึง 192,535 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่วนตลาดตราสารหนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิ 701 ล้านบาท ขณะที่เงินบาทปิดที่ระดับ 31.67/69 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน  ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า ในช่วง 2 สัปดาห์เงินบาทแข็งค่ามากกว่าเพื่อนบ้าน ส่วนหนึ่งเกิดจากมีเงินมาพักในไทย ซึ่งพร้อมจะใช้มาตรการสกัดการแข็งค่า เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดหุ้นพุ่งแรงถึง 32% เทียบกับระดับต่ำสุดของปี 2563 ในเดือนมี.คที่ระดับ 1,024 จุด สวนทางกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจและประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ดัชนีที่ประมาณ 1,352 จุด ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) สูงถึง 21 เท่า

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. เอเซียพลัส เปิดเผยว่า หุ้นไทยมีความเสี่ยงสูง P/E ที่ 21.2 เท่า ถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ ส่วนระดับโลกเป็นรองเพียงตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ 24.3 เท่า ที่มีหุ้นเทคโนโลยี โดยบล.เอเซียพลัสปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ(GDP)ปีนี้โต -5.7% หลักๆมาจากไตรมาส 1 ติดลบ 1.8% ไตรมาส 2 ติดลบมากที่สุด -11% เป็นหลุมลึก ไตรมาส 3 ลบ 6% และไตรมาสสุดท้าย -4.5% มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมหายไป 4.22 แสนล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศไทย(IMF ) คาดปีนี้ -6.7% ไทยโตรั้งท้าย ตามด้วยมาเลเซีย -1.7% ส่วนประเทศอื่นยังโตเป็นบวก

สำหรับประมาณการกำไรบจ.ปีนี้ บล.เอเซียพลัสคาดเหลือเพียง 688,623 ล้านบาท ลดลง 26% กำไรต่อหุ้น 64 บาท/หุ้น ลดลง 27%  ส่วนปีหน้ากำไรฟื้นเป็น 833,095 ล้านบาท โต 23% แต่ยังไม่เท่ากับปี 2559 ที่ทำกำไรได้ถึง 8.9 แสนล้านบาท  และเป้าหมายดัชนีหุ้นในปีนี้ หลังดอกเบี้ยนโยบายปรับลด 3 ครั้ง จาก 1.25% เหลือ 0.50% มีผลให้ตลาดซื้อขายที่ P/E สูงขึ้นได้ แต่ดัชนีที่คาดไว้อยู่ที่ 1,164 จุด และปีหน้า 1,407 จุด

นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า การลงทุนในเดือนมิ.ย. ในภาวะที่เงินทุนต่างประเทศยังไม่เข้ามาและขายตลอด ขณะที่นักลงทุนสถาบันมีการซื้อลดลงอย่างชัดเจน  จาก 4 หมื่นล้านบาท และในเดือนเม.ย. เหลือจำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท เดือน พ.ค. ซื้อสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่าตลาดได้รับแรงขับเคลื่อนของสถาบันไทย เงินหมุนไปเรื่อย ที่ผ่านมาตลาดขึ้นมามากจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ตอนนี้เริ่มแผ่วลง สลับไปซื้อหุ้นกลุ่มการแพทย์ ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ ปัจจุบันตลาดขึ้นมาถึงแนวต้านแล้ว ต้องระวัง หากไม่ผ่านจะปรับฐานลงมา โดยมีสัญญาณเตือนหลายอย่าง แม้ว่ายังไม่ให้ความสำคัญเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แต่ต้องสังเกตุค่าเงินหยวน หากอ่อนลงมากสงครามการค้า จะเริ่มมีน้ำหนักมาก ในเดือนนี้ให้ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250-1,390 จุด มีแนวรับที่ 1,250 และ 1,360 ขึ้นไปปิดแล้ว 1,390 จุด

” มองดูพื้นฐาน ไม่ค่อยสนใจ ต้องมองภาพอนาคต จะต้องลืมปัญหาตอนนี้ การเล่นเก็งกำไร จะต้องมีวินัย ถึงจุดตัดขาดทุนก็ต้องกล้าตัด เลือกซื้อหุ้นดีเฟนซีฟและปันผลสูง   ได้แก่ ADVANC ,BDMS,BCPG ,PTT,TTW,TVO “นายเทิดศักดิ์กล่าว

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ร่วมกับตลาดหลักทรัพยแห่งประเทศไทย จัด Hot Issue ครั้งที่ 4/2563 “งบไตรมาส 1 และอนาคตเศรษฐกิจไทย” โดยนายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี (KSS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นขึ้นเหนือ 1,300 จุด ฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้าประมาณ 30% ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งค่า P/Eหุ้นตึงและมีความเสี่ยงปรับฐานใหม่

นายอิสระกล่าวว่า มองแนวรับที่ควรเข้าเก็บสะสมอยู่ที่ 1,120-1,150 จุดแนะนำหุ้นที่พื้นฐานแกร่ง จ่ายปันผลดี และกำไรสม่ำเสมอ โดยบล.กรุงศรี ให้หุ้นที่เป็นเชิงรับมากขึ้นและราคาเป้าหมาย กลุ่มสื่อสาร DTAC ที่ 64 บาท และINTUCH ที่ 74 บาท กลุ่มสาธารณูปโภค TTW ที่ 16.3 บาท และกลุ่มพลังงาน PTTGC ที่ 50 บาท และTOP ที่ 48 บาท คาดว่าหุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในช่วงนี้

นอกจากนี้ให้กระจายการลงทุน แนะนำทองคำ และพันธบัตรรัฐบาล ถึงแม้ผลตอบแทนจะต่ำ แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน

นายปรเมศร์ ทองบัว ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.บัวหลวง (BLS) กล่าวว่า กำไรในไตรมาส 2/2563 คาดโต-48% และจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง แนวโน้มดัชนีแตะที่บริเวณ 1,400 จุด การลงทุนอยากให้มองข้ามไปปี 2564 เนื่องจากปีนี้ฐานกำไรไม่ปกติ ค่า Forward P/E เกือบ 20 เท่า ปีหน้าอยู่ที่ 15.93 เท่า มองว่ามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น  เป้าดัชนีไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,370 จุด และปลายปี 2564 ที่ 1,436 จุด

ช่วงสั้นอาจจะเห็นภาพการหมุนเล่นระยะสั้น ในกลุ่มที่มูลค่าไม่แพงมาก ราคาปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด และมูลค่าจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ ในกลุ่มแบงก์ , กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มยานยนต์

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยมุมมองการลงทุนเดือน มิ.ย.ว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯที่มีโอกาสพัฒนาไปสู่สงครามการค้ารอบสอง  แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ และหลบเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มปลอดภัยจากปัจจัยภายนอก  ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, EGCO  กลุ่มสื่อสาร  ADVANC, INTUCH  กลุ่มขนส่งมวลชน แนะนำ BTS, BEM  กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร แนะนำ CPF,TFG, GFPT, ASIAN, CFRESH, CHOTI, APURE, SUN, RBF, XO, MALEE กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ แนะนำ JMT และกลุ่มเหมาะเก็งกำไรบนธีมย้ายฐานการผลิตจากสงครามการค้า เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำ AMATA

“ดัชนีหุ้นในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่แพงแล้ว เพราะซื้อขายด้วยระดับ Forward P/E สูงถึง 20 เท่า สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นการซื้อขายที่อิงกำไรตลาดในปีหน้าไปแล้ว จึงต้องลงทุนด้วยความระวังและถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนกรอบดัชนีเดือนนี้ มองกรณีดีสุดที่ 1,420 จุด กรณีฐาน 1,330 จุด และกรณีแย่สุดที่ 1,240 จุด อิงระดับประมาณการกำไรต่อหุ้นปีหน้าที่ 84.3 บาท “นายณัฐชาต กล่าว

บล.โนมูระ พัฒนสินแนะเก็งกำไรได้ แต่วางจุดกระชับพอร์ตที่ 1,323/1,300 จุด ส่วนพอร์ตลงทุนเชิง Tactical แนะนำลดน้ำหนักหุ้นเหลือเพียง 30% และกลยุทธ์ระยะยาวที่เหมาะสมตอนนี้ คือ DCA ตั้งรับหุ้นในธุรกิจที่โตสม่ำเสมอ  แนะนำ ADVANC, AOT, CPALL, CPF, BEM, BDMS, HMPRO, KTC, TASCO