บอร์ด AOT ไฟเขียวสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ 4.2 หมื่นล.

บอร์ด AOT ไฟเขียวสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่า 4.2 หมื่นล้านบาท รองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 30 ล้านคนต่อปี

รายงานข่าวจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) เปิดเผยว่า วันนี้ (20 มิ.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นชอบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ (ทสภ.) วงเงินลงทุน 4.2 หมื่นล้านบาท โดย AOT จะเสนอโครงการให้กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และแล้วเสร็จในปี 2564

สำหรับรายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ดังกล่าว ประกอบด้วย 1.งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 บริเวณด้านทิศเหนือของอาคารเทียบเครื่องบิน A มีพื้นที่ประมาณ 348,000 ตารางเมตร เป็นอาคารแบบ Multi-Terminal สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี แบ่งเป็นผู้โดยสารภายในประเทศ 12 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารระหว่างประเทศ 18 ล้านคนต่อปี พร้อมทั้งปรับปรุงลานจอดอากาศยานให้สอดคล้องกับอาคารผู้โดยสารโดยมีหลุมจอดประมาณ 14 หลุมจอด

2.งานก่อสร้างปรับปรุงอาคารเทียบเครื่องบิน A, B และ C

3.งานก่อสร้างอาคารบริการท่าอากาศยานครบวงจร (Airport Multiplex Building: AMB) ด้านทิศใต้ของอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ พื้นที่อาคารประมาณ 84,000 ตารางเมตร สามารถจอดรถยนต์ในอาคารได้ประมาณ 1,000 – 1,500 คัน และมีลานจอดรถยนต์ภายนอกอาคารอีกประมาณ 1,500 – 2,000 คัน

4. งานระบบขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ โดยเป็นระบบรถไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารหลัก (MTB) และอาคารเทียบเครื่องบิน A ในปัจจุบัน ไปยังอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 และเชื่อมต่อการเดินทางจากอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 กับสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link มีระยะทางรวมทั้งระบบยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร

5.งานระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร เพื่อรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี และเชื่อมต่อกับระบบของอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน

6.งานก่อสร้างระบบถนนภายในท่าอากาศยานเพื่อใช้เป็นเส้นทางเข้า-ออกอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2

และ7. งานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคเพื่อให้สอดคล้องกับโครงการฯ นอกจากนั้นจะมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการภายในท่าอากาศยาน ตลอดจนการใช้พื้นที่ใช้สอยอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 ให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน รวมถึงตระหนักในเรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงาน