บลจ.ยูโอบี ชี้จังหวะทยอยเก็บหุ้น ชู ‘บิ๊กแคป’ ระยะสั้นแจกกำไร

บลจ.ยูโอบีมองเศรษฐกิจไทยแกร่ง กำไรบจ.โต สงครามการค้าสหรัฐ-จีนไม่กระทบไทยโดยตรง มองโอกาสทยอยซื้อสะสมหุ้น คงเป้าดัชนี 1,800-1,850 จุดสิ้นปี ชูหุ้นบิ๊กแคป ระยะสั้น 2-3 เดือนเชื่อผลตอบแทนดีกว่าหุ้นขนาดกลางและเล็ก

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทยังมองหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเป็นโอกาสลงทุน รวมถึงแนะนำกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เนื่องจากให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราที่ดี และกองทุนประเภท Absolute Return ที่ใช้กลยุทธ์ Long และ Short ในการบริหารจัดการกองทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนโดยไม่อิงกับภาวะตลาดหุ้น ซึ่งจะสร้างสมดุลให้พอร์ตลงทุนที่นักลงทะนสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนได้

นายวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และสื่อสารองค์กร สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงจากความวิตกสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ประกอบกับหุ้นไทยขึ้นมาต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจนราคาเริ่มแพง ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยไม่เปลี่ยน ธนาคารกลางแห่งประเทศไทยคาดการณ์ GDP เติบโตปีนี้ 4.1% และแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะเติบโต 9-10% จึงยังคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,800-1,850 จุด ส่วนแนวรับ 1,600 จุด

วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์

อย่างไรก็ตามมองว่าสงครามการค้าจะกระทบตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น โดยให้น้ำหนักกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผลมากกว่าและคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

“การขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐรอบแรกมองว่ายังไม่ได้กระทบมากนัก แต่ยังคงต้องจับตาความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐและมาตรการตอบโต้ต่อไป รวมถึงราคาน้ำมันและเงินเฟ้อ ซึ่งหากมีปัจจัยลบกดดันตลาดมากขึ้นอาจเห็นดัชนี 1,550 จุด บน EPS อยู่ที่ 110 บาทและ PE 14 เท่า” นายวจนะ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนของบลจ.ยูโอบี บริหารอย่างระมัดระวังโดยถือเงินสดมาระยะหนึ่งแล้วก่อนที่ดัชนีจะหลุด 1,700 จุด ทำให้ปัจจุบันกองทุนหุ้นไทยถือเงินสดเฉลี่ย 10% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ส่วนกองทุนผสมถือเงินสดมากกว่า 10% จึงหาจังหวะในการเลือกซื้อหุ้นและเมื่อวานนี้กองทุนก็ไม่ได้ขายหุ้นออก

นายวจนะ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยมองระยะสั้น 2-3 เดือนหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) มีโอกาสให้ผลตอบที่ดีมากกว่าหุ้นขนาดกลางและเล็ก (มิดแอนด์สมอลแคป) แต่ปัจจุบันหุ้นขนาดกลางและเล็กราคาเริ่มถูกสามารถสะสมลงทุนสำหรับ 2-3 ปีได้ โดยตอนนี้ยังต้องจับตาผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 หากออกมาดีตามที่คาดการณ์จะส่งผลให้ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้น