HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ บริษัท บีทีเอสฯ จุดแข็งมีรายได้ค่าบริการ-เงินปันผลสม่ำเสมอ รายได้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,500 ล้านบาทในปีบัญชี 2565 จาก 2,300 ล้านบาทในปีบัญชี 2562 ปรับแนวโน้มเป็น”ลบ” หวั่นภาระหนี้สูงขึ้นมาก จากโอกาสลงทุนสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใหม่หลายโครงการในช่วง 5 ปี คาดต้องหาแหล่งเงินทุนประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท
บริษัท ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(BTS)ที่ระดับ “A” แต่เปลี่ยนแนวโน้มเป็น “ลบ” จาก “คงที่”สะท้อนถึงความเป็นไปได้สูงที่ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากโอกาสในการลงทุนในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใหม่ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทริสคาดบริษัทจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทย่อยหลักคือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนการได้รับเงินปันผลที่สม่ำเสมอจากการถือหุ้น 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และการมีสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดบางส่วนจากโอกาสที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อใช้ลงทุนในโครงการ
ทริสคาดว่ารายได้และกระแสเงินสดจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวทั้ง 2 เส้นทาง นอกจากนี้รายได้ในส่วนนี้ยังสามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงเนื่องจากมีการกำหนดอัตราค่าบริการแบบตายตัวไว้แล้วและยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงอีกด้วย คาดว่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6,500 ล้านบาทในปีบัญชี 2565 จากประมาณ 2,300 ล้านบาทในปีบัญชี 2562 งบลงทุนใน 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท
ส่วนผลกระทบระยะสั้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลให้เงินปันผลรับลดลง จากกองทุนรวม BTSGIF จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าจะลดลงอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกของปีบัญชี 2564 แต่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 จากการแพร่ระบาด สามารถควบคุมได้ในวงกว้างและภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง เชื่อว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นในปีบัญชี 2565 จากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้า และรายได้เงินปันผลจะลดลง 25% ในปีบัญชี 2564 จากนั้นจะปรับเพิ่มขึ้น 40% ในปีบัญชี 2565
ทริสประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ณสิ้นปี 2562 บริษัทมีเงินสดในมือจำนวน 3,800ล้านบาทและมีหลักทรัพย์เพื่อค้าและหลักทรัพย์เผื่อขายจำนวน 3,800 ล้านบาท บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 2.16 หมื่นล้านบาทด้วย บริษัทมีภาระในการชำระหนี้ระยะยาวในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประมาณ 5,100ล้านบาทและภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 1.18 หมื่นล้านบาท
ในปีบัญชี 2564 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวน 3.2 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะมาจากเงินกู้โครงการ ในช่วง 9เดือนแรกของปีบัญชี 2563 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4,200 ล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงิน (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)อยู่ที่ระดับ 10.3% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 3.8 เท่า