“เสียวหมี่” Q1/63 โต 13.6% ลุยตลาดสมาร์ทโฟนในไทยไตรมาส 2

“เสียวหมี่” เปิดผลงานไตรมาส 1/63 กวาดรายได้ 49.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน ชี้เติบโตทั้งรายได้และกำไรสูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่ ยอดขายผลิตภัณฑ์หลักฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และกลับสู่ระดับเดิมก่อนเกิดวิกฤตโรคระบาดทั่วโลก พร้อมเดินหน้าสานต่อตำนานกับ 3 สุดยอดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ Redmi Note 9 Pro และ Redmi Note 9 ร่วมด้วย Mi Note 10 Lite ลุยทำตลาดไทยในไตรมาส 2 ปีนี้

บริษัท เสียวหมี่ คอร์ปอเรชัน เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปี 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกเซ็กเมนต์ โดยมีรายรับรวมอยู่ที่ 49.7 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 7.56 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 44.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและมีกำไรสุทธิหลังการปรับปรุง 2.3 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่

ด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาอยู่ที่ 1.9 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 13.4 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายเหลย จวิน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของ เสียวหมี่ กล่าวว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมจะกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างรุนแรง แต่กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ยังคงมีการเติบโตในทุกเซ็กเมนต์ท่ามกลางภาวะตลาดที่ตกต่ำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่น การปรับตัว และขีดความสามารถในการแข่งขันของรูปแบบธุรกิจของเสียวหมี่ ในไตรมาสแรกของปี 2563 เสี่ยวหมี่ยังถูกจัดให้อยู่ใน ‘Forbes’ Global 2000′ อีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงการเป็นที่ยอมรับของเสียวหมี่ในตลาดทุนต่างประเทศ

“เชื่อว่าวิกฤตถือเป็นบททดสอบที่ดีที่สุดถึงมูลค่าของบริษัท รูปแบบธุรกิจ และศักยภาพในการเติบโต เมื่อผลกระทบจากวิกฤตโรคระบาดเริ่มบรรเทาลง เราจะยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ ‘5G + AIoT’ และเพิ่มความแข็งแกร่งในขนาดของการลงทุนของเรายิ่งขึ้นเพื่อให้ทุกคนในโลกมีความสุขกับชีวิตที่ดีขึ้นจากเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม”ประธานกรรมการ กล่าว

ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Canalys ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาด เสียวหมี่ประสบความสำเร็จในการฝ่าฟันอุปสรรคจากการชะลอตัวของตลาดและสามารถมีการเติบโตของยอดการจัดส่งเมื่อเทียบปีต่อปีสูงสุดในบรรดาบริษัทสมาร์ทโฟนชั้นนำในอันดับ 5 ของโลก ในขณะเดียวกันอัตราการเข้าถึง 5G ของสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในประเทศจีนอยู่ที่ระดับ 25.9% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟน 5G และการใช้กลยุทธ์ Dual-Engine “สมาร์ทโฟน + AIoT” ที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

เสียวหมี่ยังคงใช้กลยุทธ์ Dual Brand ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในไตรมาสแรกของปี 2563 โดย Mi 10 และ Mi 10 Pro มียอดการจัดส่งเกิน 1 ล้านเครื่องในเวลาเพียงสองเดือนหลังจากการเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 แบรนด์ Redmi ยังคงออกผลิตภัณฑ์ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงในราคาต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้เปิดตัวรุ่นแฟล็กชิพ K series Redmi K30 Pro และ Redmi K30 Pro Zoom Edition และหลังจากความสำเร็จของ Redmi Note 8 ซีรีย์ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีที่สุดอันดับสองของโลกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 จากข้อมูลของ Canalys เสียวหมี่ได้เปิดตัว Redmi Note 9S และ Redmi Note 9 Pro ในตลาดต่างประเทศ

ส่วนผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดเริ่มบรรเทาลง การขายผลิตภัณฑ์หลักของเสียวหมี่จึงฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ร่วมมือกับพันธมิตรในซัพพลายเชนในการดำเนินงานเชิงรุกเพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิต การผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่โดยส่วนใหญ่กลับมาดำเนินต่อไป และความต้องการสมาร์ทโฟนฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนเม.ย. ยอดการส่งมอบสมาร์ทโฟนในจีนแผ่นดินใหญ่ได้ค่อยๆ กลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาด และยอดการจัดส่งสมาร์ททีวีก็ฟื้นตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน

ในตลาดต่างประเทศ การเข้าถึงอย่างกว้างขวางทั่วโลกของเสียวหมี่ ทำให้กลุ่มบริษัทเสียวหมี่สามารถวางกลยุทธ์และปรับใช้ทรัพยากรในตลาดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วในการรับมือกับวิกฤตโรคระบาด ในขณะที่มาตรการล็อคดาวน์ในตลาดต่างๆ ค่อยๆ ผ่อนปรนลง ยอดขายก็เริ่มฟื้นตัว โดยในสัปดาห์ที่สามของเดือนพ.ค. จำนวนการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนในตลาดยุโรปได้กลับสู่ระดับ 90% ของระดับเฉลี่ยรายสัปดาห์ของเดือนม.ค.2563