“มิลล์คอนสตีล” โชว์ไตรมาส 1/63 อีบิทด้าพุ่ง 203%

HoonSmart.com>>”มิลล์คอนสตีล” โชว์ผลงานแกร่ง ไตรมาสแรกปี 63  อีบิทด้าเพิ่มขึ้นกว่า 203%   สวนทางราคาเหล็กในตลาดโลกปรับลดลง  ระบุต้นทุนขายและบริการลดลงกว่า 1 พันล้านบาท การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต หนุนกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 231% อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นเป็น 8.60% 

ประวิทย์ หอรุ่งเรือง

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล  (MILL)  เปิดเผยว่า  ผลประกอบการไตรมาส 1/63 มีกำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 247 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขาดทุนสุทธิ 190 ล้านบาท

มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม (EBITDA) 312  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท หรือ  203% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มี EBITDA  จำนวน 103 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2563  แม้ปริมาณขายผลิตภัณฑ์เหล็กรวม อยู่ที่ 227,692 ตัน ลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่บริษัทผลักดันยอดขายเหล็กเส้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล็กเส้นมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4 %  เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

มีรายได้จากการขายและบริการ 3,698 ล้านบาท ลดลง 870 ล้านบาท หรือ 19%  เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน  เนื่องจากสถานการณ์ของราคาเหล็กโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ลดลง จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน  ขณะเดียวกัน ราคาวัตถุดิบที่ลดลง ส่งผลให้ไตรมาส1/2563 ต้นทุนขายและการบริการ ลดลง 1,092 ล้านบาท

นายประวิทย์ กล่าวต่อว่า  การปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ส่งผลให้ไตรมาสแรกปีนี้  มีกำไรขั้นต้น 318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 222 ล้าบาท หรือเพิ่มขึ้น 231% จากงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไรขั้นต้น 96 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่  8.60% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 2.10%

“การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการลดลงของต้นทุนการขายและบริการ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ออกมาค่อนข้างดี  อัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาอยู่ที่ 8.6%  แม้สถานการณ์เหล็กในตลาดโลกจะราคาลดลง  แต่ต้นทุนการขายและบริการก็ลดลงเช่นเดียวกัน “นายประวิทย์   กล่าว

ทั้งนี้ MILL ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล  โดยได้บันทึกเงินปันผลค้างจ่ายจำนวน 87 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา  และจากผลการดำเนินตามที่กล่าวข้างต้น ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 5,713 ล้านบาท