HoonSmart.com>>บล.บัวหลวง ชู 2 ธีมลงทุน รับอานิสงส์คลายล็อกดาวน์ ภาคการผลิตและบริโภคฟื้นตัว แนะนำ CPALL-GLOBAL-HMPRO-RS-CBG-PTTGC-TOP- CRC แนวโน้มตลาดแกว่งทรงตัวหลังจากวิ่งเข้ามาเร็ว
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 32% จากระดับดัชนีต่ำสุดกลางเดือนมี.ค. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ จนเข้าใกล้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2563 ที่ให้ไว้ระดับ 1,310-1,320 จุด คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 และ 3 อาจอยู่ในลักษณะทรงตัว หรือแกว่งตัวซิกแซ็กขึ้น นักลงทุนต้องโยกซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก 2 ธีมหลัก คือ 1.การผ่อนคลายล็อกดาวน์ และ 2.การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภค เช่น หุ้น CPALL, GLOBAL,HMPRO, RS,CBG, PTTGC, TOP และ CRC เป็นต้น
” กลุ่มที่ได้ผลดีจากการผ่อนคลาย เปิดห้างสรรพสินค้าบางแห่ง เช่น กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มค้าปลีก เช่น หุ้น CRC, HMPRO, และ GLOBAL รวมถึงกลุ่มร้านอาหาร อาทิ หุ้น MINT, M, AU และกลุ่มสินค้าบริโภคจำเป็นอย่างร้านสะดวกซื้ออย่างหุ้น CPALL ส่วนธีมภาคการผลิตและการบริโภคกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมัน ,สินค้าปิโตรเคมี และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น หุ้น PTTGC, IVL และ TOP เป็นต้น”นายชัยพรกล่าว
ทิศทางตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะขึ้นอยู่ที่การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก และตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ หากพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงตลาดอาจตอบรับในเชิงลบ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจและกิจกรรมต่างๆ จะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติอาจต้องใช้เวลาถึงสิ้นปี 2563 หรือต้นปี 2564
เศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะแย่กว่าไตรมาสแรก ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มสายการบิน และกลุ่มบริษัทที่อยู่สายการผลิตภาคอุตสาหกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเงิน เป็นต้น ส่วนกิจการที่ได้ประโยชน์ เช่น กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพัสดุหีบห่อกระดาษ เป็นต้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ความต้องการสินค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขายใหม่ ด้วยการหันมาพึ่งพิงออนไลน์มากขึ้น
สำหรับการลงทุนในทองคำ ที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังได้ประโยชน์จากสภาพคล่องในระบบที่สูง เมื่อธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อต่ำ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อ คาดว่าในเดือนพ.ค.นี้ ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ฉะนั้นแนะนำลงทุนสัดส่วนประมาณ 5-10% ของพอร์ตลงทุน
“ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แนะนำให้จัดพอร์ตลงทุน โดยแบ่งน้ำหนักการลงทุนหลักๆ ออกเป็น 4 ส่วน คือ 1.ตลาดเงินและตราสารหนี้ สัดส่วน 15% เพื่อสำรองสภาพคล่อง 2.ทองคำ สัดส่วน 16% เพื่อป้องกันความเสี่ยง 3.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์,กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและ REITs สัดส่วน 9% และ 4.หุ้นไทยและต่างประเทศ สัดส่วน 60%” นายชัยพร กล่าว