HoonSmart.com>> “บี.กริม เพาเวอร์” ไตรมาส 1/63 กำไรสุทธิวูบเหลือ 80 ล้านบาท ขาดทุนค่าเงิน 886 บาทฉุดงบ ด้านกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 54% รับขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง ย้ำธุรกิจแข็งแกร่ง มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับภาครัฐ กระแสเงินสดแข็งแกร่งเงินสดล้น 2.1 หมื่นล้านบาท เดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าตามแผน คงเป้าหมายขยายไฟฟ้า 5 พันเมกะวัตต์ ด้านบล.เอเซียพลัส แนะนำ “ซื้อ” ไตรมาส 2/63 กำไรเติบโต
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2563 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ เติบโต 9.4% ที่ 11,223 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องถึง 944 เมกะวัตต์ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จากสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 4 โครงการ ในปีที่แล้ว และการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 2 แห่งได้แก่ โครงการ SPP1 ในปี 2562 และล่าสุดโครงการโรงไฟฟ้าอ่างทองเพาเวอร์ ขนาด 123 เมกะวัตต์ ในเดือนมี.ค.2563 โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมยังคงมีความแข็งแกร่งในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยผลจากการมีสัดส่วนอุตสาหกรรมที่หลากหลาย มีกลุ่มลูกค้ามีการเติบโต ได้แก่ เช่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์ โต 15.1% กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น 13.2% จากลูกค้าใหม่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเพิ่มขึ้น 8.0% กลุ่มยางรถยนต์เพิ่มขึ้น 3.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีการทยอยจ่ายไฟให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟใหม่รวม 26 เมกะวัตต์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาด้วย
ขณะที่อัตรากำไร EBITDA เพิ่มสู่ระดับสูงสุดที่ 29.2% จากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ผลจากทยอยปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซเป็นโครงการที่ 3 ในช่วงต้นปีนี้ และการรับรู้ผลการดำเนินงานโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามที่ให้อัตรากำไร EBITDA ที่สูง
กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ไม่รวมผลกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากมูลค่าทางบัญชีของเงินกู้สกุลต่างประเทศ อยู่ที่ 1,158 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 682 ล้านบาท เติบโตถึง 54.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากปัจจัยบวกดังที่กล่าวมา อย่างไรก็ดี เนื่องจากบริษัทกู้เงินสกุลต่างประเทศเพื่อป้องกันความเสี่ยงในส่วนของรายได้สกุลต่างประเทศ (natural hedge) โดยในช่วงไตรมาส 1/2563 เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเปรียบเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเกิดรายการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน 886 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสด เป็นสาเหตุหลักทำให้กำไรสุทธิจากอยู่ที่ 159 ล้านบาท และ 81 ล้านบาทในส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่
ด้านการรับมือกับวิกฤตโควิค-19 นั้น บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่งมีเงินสดในมือถึง 2.1 หมื่นล้านบาท มีการประเมินกระแสเงินสดอย่างละเอียดภายใต้สมมติฐานสถานการณ์ต่างๆ มั่นใจแข็งแกร่งต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้ และแผนการลงทุน ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับวงเงินสำหรับเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม 4 พันล้านบาทรวมเป็น 9 พันล้านบาท พร้อมรับหากวิกฤตโควิค – 19 มีความยืดเยื้อ
บี.กริม พร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อข้ามผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน บริษัทจัดตั้งทีมงานผู้รับผิดชอบเพื่อติดตามปฎิบัติการตอบสนองนโยบายภาครัฐอย่างใกล้ชิด โดยให้ความช่วยเหลือทั้งทางการแพทย์และสังคมรวมไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท อีกทั้งมีมาตรการต่างๆเพื่อดูแลความปลอดภัยของพนักงาน ควบคู่ไปกับการรักษาระดับคุณภาพของบริการอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการปลดพนักงาน ด้านธุรกิจรายได้ส่วนใหญ่มาจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิค-19 สำหรับส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม ปริมาณการใช้ไฟฟ้าโดยรวมคงที่จากช่วงเดียวกันปีก่อน และยังมีลูกค้าใหม่ทยอยเข้ามาอีกในช่วงที่เหลือของปีรวม 30 เมกะวัตต์ตามสัญญาการซื้อขายไฟ
นอกจากนี้มีการใช้แผนเชิงรุกในการลดต้นทุน คาดว่าจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 34 ล้านบาท จากการขยายอายุการใช้งานของชิ้นส่วนอุปกรณ์บางชนิด และการประหยัดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อปี จากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซของโครงการต่างๆ ในช่วงปี 2562-2563
ขณะเดียวกันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ray Power ในประเทศกัมพูชาขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 39 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำหลักชัย กำลังการผลิตติดตั้ง 13 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อวิน วินด์ฟาร์ม 1&2 กำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ มีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 4/2563 ถึง ไตรมาส 1/2564 โดยบริษัทมุ่งเน้นวิเคราะห์การลงทุนและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 5 พันเมกะวัตต์ (จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนา) ในปี 2565
บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส คงคำแนะนำ “ซื้อ” BGRIM รับทิศทางกำไร 4 ปีข้างหน้า (2563-66) ที่จะขึ้นทำ New High ต่อเนื่อง อีกทั้งระยะสั้นกำไร ไตรมาส 2/2563 ยังคาดเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY โดดเด่นในกลุ่มโรงไฟฟ้า
สำหรับไตรมาส 1/2563 กำไรสุทธิ 80.7 ล้านบาท -80.3% จากไตรมาสก่อนตามคาด กดดันหลักๆจากขาดทุนจาก Fx 886 ล้านบาท ตามค่าเงินบาท/ดอลลาร์ฯที่อ่อนค่า แต่หาพิจารณาเฉพาะกำไรปกติพบว่าเติบโตสูง 59.3% qoq มาอยู่ที่ 682 ล้านบาท หนุนจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลงตามฤดูกาล อีกทั้งในงวดนี้ต้นทุนขายลดลง ตามการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้นและราคาก๊าซฯที่ลดลง ขณะที่รายได้จากการขายไฟฟ้าเพียงทรงตัวจากไตรมาส 4/2562 จึงทำให้ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 20.6% จาก 18.7% ในไตรมาส 4/2562 โดยรวมกำไรปกติไตรมาส 1/63 คิดเป็น 26.7% ของประมาณการปี 2563
บล.เอเซียพลัส มองระยะสั้นกำไรปกติไตรมาส 2/2563 คาดเติบโตต่อจากไตรมาส 1/2563 หนุนจาก (1) รับรู้โรงไฟฟ้า SPP อ่างทองเต็มไตรมาส (เข้าซื้อเมื่อ 17 มี.ค.) (2) ลูกค้า IU ใหม่ 14 MW ที่จะทยอยเข้ามาในไตรมาส 2/63 ถึงแม้ลูกค้าเดิมจะมีความต้องการไฟชะลอลงก็ตาม (3) ต้นทุนขายคาดลดลงจากค่าซ่อมบำรุงที่ลดลง เพราะ BGRIM ไม่มีแผนปิดซ่อมโรงไฟฟ้าใดๆในไตรมาส 2/2563 เทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีซ่อมบางโรง (4) เข้าสู่ High season โซลาร์ที่เวียดนาม