HoonSmart.com>>”ซีเค พาวเวอร์” ลั่นกระแสเงินสดและสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง พร้อมขยายการลงทุน มั่นใจผลงานปีนี้โตไม่น้อยกว่าปีผ่าน รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรีเต็มปี เริ่มมีฝนตกในหลายพื้นที่ติดต่อกัน แนวโน้มปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงและฝนสูงกว่าปีที่ผ่านมา
นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เปิดเผยว่า ในไตรมาส1/2563 บริษัทมีรายได้รวม 1,762 ล้านบาท ลดลง 27%จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากฝนตกน้อยกว่าปกติค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นสภาวะน้ำแล้งที่ต่อเนื่องจากปี 2562 ที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำสุดในรอบกว่า 50 ปี และส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ก่อนรวมส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในกิจการที่ควบคุมร่วมกันและบริษัทร่วมอยู่ที่ 687 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของรายได้ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดตามงบการเงินรวม ณ วันที่ 31 มี.ค. 2563 จำนวน 4,547.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 333.5 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมอยู่ที่ 0.65 เท่า จากข้อกำหนดของหุ้นกู้ที่ให้คงอัตราไม่เกิน 3.00 เท่า สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ในเกณฑ์ดี
“บริษัทมีกระแสเงินสดรับที่ยังแข็งแกร่งแม้จะอยู่ในช่วงสภาวะฝนแล้งก็ตาม และมีวงเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกว่า 10,000 ล้านบาท ที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนขยายกิจการทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และลงทุนในโครงการใหม่อีกด้วย”นายธนวัฒน์ กล่าว
กรรมการผู้จัดการกล่าวว่า ในปี 2563 จะเป็นปีที่บริษัทฯ รับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี และโครงการโซลาร์รูฟท๊อปอีกจำนวน 5 โครงการ และมีแผน COD โครงการโซลาร์พื้นดินอีก 1 โครงการในไตรมาส 2 หากในช่วงฤดูฝนปริมาณน้ำฝน กลับมาสู่สภาวะที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยปกติ คาดว่าผลการดำเนินการตลอดทั้งปีจะเติบโตไม่น้อยกว่าปี 2562 สถานการณ์ล่าสุดช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เริ่มมีฝนตกในหลายพื้นที่ติดต่อกัน ทำให้อัตราการไหลของแม่น้ำโขงมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 2,200-2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีจากช่วงต้นปีอยู่ที่ 1,200-1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สังเกตได้ชัดเจนจากสีของแม่น้ำโขง ซึ่งเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลขุ่นทั้งด้านเหนือน้ำและท้ายน้ำ นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าปีนี้แนวโน้มปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง และปริมาณฝนน่าจะมีปริมาณที่สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เป็นการพิสูจน์ว่าโรงไฟฟ้าไซยะบุรีไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการไหลของตะกอนในแม่น้ำโขงแต่อย่างใด
ขณะนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำงึม 2 โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โครงการที่ 1 (BIC-1) และโครงการที่ 2 (BIC-2) รวมถึง โรงไฟฟ้าบางเขนชัยโซลาร์ และส่งให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EdL) เต็มกำลังการผลิต เพื่อให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ ในช่วงที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลลาวยังคงขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินที่มั่นคง และความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องนั้น ยังสอดคล้องกับการประเมินผลการจัดอันดับของบริษัท ทริสเรทติ้ง ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่คงอันดับเครดิตองค์กรของ CKP ที่ระดับ “A “และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ระดับ “A- ” โดยทริสฯ ยังเห็นถึงความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่มีความท้าทายในด้านธรณีวิทยา สิ่งแวดล้อม และเทคนิควิศวกรรม จนมีผลงานเป็นที่ยอมรับ มีผลการดำเนินงาน ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทริสฯ ยังมองว่า บริษัทฯ มีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับผู้ซื้อที่มีความน่าเชื่อถือทุกราย โดยในส่วนของผลการดำเนินงาน ทริสฯ มองว่า บริษัทฯ จะมีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายทางการเงินภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย อยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 คือประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ รวมถึงยังมีสภาพคล่องที่เพียงพอในการดำเนินงานอีกด้วย
สำหรับบริษัทฯ ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท จำนวน 13 โครงการ รวมขนาดกำลังการผลิตติดตั้งที่ 2,167 เมกะวัตต์
อ่านข่าว
