ฟิทช์ ปรับแนวโน้มเครดิต KCE เป็นลบ รายได้-กำไรรอการฟื้นตัวยาวปี’ 65

HoonSmart.com>>ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มเครดิตของเคซีอี อีเลคโทรนิคส์ เป็นลบ คงอันดับเครดิตที่ ‘A-(tha)’ คาดรายได้ปีนี้ลดลง 30%  ปีหน้าจะฟื้นตัว 13% และปี 56 โต 5-6% เงินบาทแข็งกระทบกำไร 

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE ) เป็นลบจากมีเสถียรภาพ ในขณะเดียวกันคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ ‘A-(tha)’

การปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบสะท้อนถึงความเสี่ยงที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ต่อการฟื้นตัวของรายได้และความสามารถในการทำกำไรจะใช้เวลานานจนถึงปี 2565 คาดว่ารายได้ในปีนี้ลดลง 30% จากปี 2562 ลดลง 13.5% เนื่องจากความต้องการซื้อแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดดำเนินการผลิตของผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลก  รายได้จะดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป  อัตรา 13% ในปี 2564 และ 5-6% ในปี 2565 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับสูงกว่า 13% ในปี 2564 อย่างไรก็ตามหากการฟื้นตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจแสดงถึงสถานะทางธุรกิจที่อ่อนแอลง และอาจส่งผลกระทบทางลบต่ออันดับเครดิต

ฟิทช์คาดว่าอัตราการฟื้นตัวน่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจใช้เวลา 2-3 ปีที่รายได้จะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายอย่างที่กดดันอุตสาหกรรมและสายการผลิตรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นอุปสงค์ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความเสี่ยงทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากเชื้อเพลิง รวมถึงค่าปรับต่างๆ ที่ผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปยุโรปอาจต้องเสียจากเรื่องนี้ นอกจากนี้ ความผันผวนของราคาน้ำมันยังอาจทำให้การเปลี่ยนมาใช้ระบบรถยนต์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมมีความล่าช้า

การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า KCE จะสามารถรักษาสถานะหนึ่งในผู้ผลิตแผ่นพิมพ์วงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์รายใหญ่ ซึ่งมีสถานะทางการเงินที่แข็งแรง เชื่อว่า บริษัทฯ จะยังคงสามารถสร้างอัตราส่วนกระแสเงินสดสุทธิต่อรายได้ (Free cash flow margin) ในระดับสูงกว่า 3% โดยมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายลงทุนและการจ่ายเงินปันผลอย่างเหมาะสม ถึงแม้รายได้และกำไร อาจจะอ่อนแอลงจากปีก่อน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแรง ต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนของกำไรหรือ EBITDA Margin จะลดลงมาอยู่ 8-10% ในปี 2563 เทียบกับ 15%ในปี 2562 จากประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำลงจากยอดขายที่ลดลง โดยน่าจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 14-16% ในปี 2565 เป็นต้นไป ฟิทช์มองว่าการเพิ่มขึ้นของการใช้กำลังการผลิตของโรงงานใหม่ และการเพิ่มสัดส่วนการผลิตแผ่นพิมพ์วงจรสำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีความซับซ้อน (HDI) ซึ่งมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างสูงจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของอัตรากำไรในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ถึงแม้จะไม่คิดว่า EBITDA Margin  จะกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่า 20% เหมือนในอดีตก็ตาม

นอกจากนี้ ธุรกิจของ KCE มีความเสี่ยงสูงจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้อัตรากำไรมีความผันผวนในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นบริษัทผู้ส่งออก รายได้และกำไรจะลดเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากประมาณ 80-90% ของรายได้อยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่ 50-60% ของต้นทุนอยู่ในรูปเงินบาท ส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้การลดลงของปริมาณการผลิต ทำให้อัตรากำไรลดลงจากต้นทุนคงที่  เช่น  เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 4% และปริมาณการขายลดลง 11%ส่งผลให้ EBITDA Margin ลดลงเป็น 15.4% ในปี 2562 จาก 20.2% ในปี 2561

อย่างไรก็ตามคาดว่า KCE จะยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่แข็งแกร่ง ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ถึงแม้กำไรจะลดลง  ปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับต่ำ และความสามารถในการสร้าง free cash flow margin ในระดับสูงกว่า 3% จะช่วยลดผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน ภายใต้สภาวะแวดล้อมในการดำเนินงานมีความท้าทาย   ณ สิ้นปี 2562 KCE มีหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีจำนวน 1,300 ล้านบาท โดยหนี้ระยะสั้นส่วนใหญ่เพื่อสนับสนุนการส่งออก ส่วนหนี้ระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระในปี 2563 มีจำนวน 259 ล้านบาท บริษัทมีเงินสดจำนวน 1,000 ล้านบาท และมีสภาพคล่องเสริมจากวงเงินกู้หมุนเวียนที่ยกเลิกได้ (uncommitted facilities) จำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท และ 83 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2562