HoonSmart.com>>ปตท. บักโบรก ขาดทุนหนัก 1,554 ล้านบาท ลดลง 30,866 ล้านบาท หรือ แย่ลง 105% รับผลกระทบ กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ขาดทุนสต็อกน้ำมัน ได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าของ GPSC ช่วยพยุง
บริษัท ปตท. (PTT) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ขาดทุนสุทธิ 1,554.35 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น -0.06 บาท ลดลง 30,866 ล้านบาท หรือ 105.30 % เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 29,312.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.02 บาท
ปตท. ชี้แจง ว่า ไตรมาส 1/63 กลุ่มบริษัทปตท.และบริษัทย่อย มีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม-ภาษี-ดอกเบี้ย (EBITDA) 32,385 ล้านบาท ลดลง 34,563 ล้านบาท หรือ 51.6 % จากไตรมาส 4/62 สาเหตุหลักจากผลดำเนินงานที่ลดลงอย่างมาก ของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ซึ่งเป็นผลจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/63 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงมาก จาก ณ สิ้นไตรมาส 4/2562 ที่ 67.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 23.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ สิ้นไตรมาส 1/2563
เนื่องจากสงครามราคาน้ำมัน สภาวะอุปทานล้นตลาด จากการที่กลุ่มโอเปกและพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตได้ ประกอบกับการความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลง จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นำไปสู่การปิดเมืองในหลายประเทศ และส่งผลกำไรขั้นต้นจากการกลั่น ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน (Market Gross Refining Margin : Market GRM) ปรับลดลงตามส่วนต่าง ราคาน้ำมันสำเร็จรูป กับน้ำมันดิบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ กับวัตถุดิบปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สายอะโรเมติกส์กับวัตถุดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในส่วนของธุรกิจสสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานที่ลดลงเช่นกัน ตามปริมาณการขายและราคาขายที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติเป็นหลักตามปริมาณการขายที่ลดลง เนื่องจากใน 1Q /2563 โรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 5 ปิดซ่อมบำรุงตามแผน ซึ่งเป็นไปแผนการปิดซ่อมบำรุงของลูกค้าโรงปิโตรเคมี รวมทั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ของโรงแยกก๊าซฯที่ปรับลดลง และธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ เนื่องจากราคาขายอ้างอิงราคาน้ำมันเตาในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรม ที่ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น จากรายได้ค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าประเภทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุง ใน 1Q/63 และต้นทุนวัตถุดิบของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ลดลง ธุรกิจถ่านหินมีผลการดeเนินงานที่ดีขึ้น จากต้นทุนที่ลดลงและราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันที่ดีขึ้นจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม ใน 1Q/63 เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้สกุลต่างประเทศเนื่องจาก ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น โดยหลักจากผลกระทบของค่าเงินบาทอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม แม้ว่าจะมีกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปตท. และบริษัทย่อย มีขาดทุนสุทธิใน 1Q2563 จำนวน 1,554 ล้านบาท ลดลงประมาณ 19,000 ล้านบาท หรือลดลงมากกว่าร้อยละ 100.0 จากกำไรสุทธิใน 4Q / 62 ที่มีกำไร 17,446 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/63 เปรียบเทียบ 1Q/62 ปตท. และบริษัทย่อยมี EBITDA ลดลง 48,138 ล้านบาท หรือ 59.8 % สาเหตุหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันใน 1Q2563 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงอย่างมากดังกล่าวข้างต้น โดยกำไรขั้นต้นจากการกลั่น ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน Market GRM ปรับลดลงตามส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ที่มีกำมะถันสูงกับนำมันดิบที่ลดลง อีกทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ส่วนใหญ่ ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานลดลง โดยหลักจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากราคาขายและปริมาณขายที่ลดลง และธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ เนื่องจาก ราคาขายอ้างอิง ราคานำมันเตาที่ลดลง
สำหรับกลุ่มธุรกิจน้ำมัน มีผลการดำเนินงานลดลง จากขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและปริมาณขายที่ลดลงจากผลกระทบของ COVID-19
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานของกลุ่มเทคโนโลยีและวิศวกรรม ปรับตัวดีขึ้นจากการเข้าซื้อ บมจ. โกลว์ พลังงาน (GLOW) ของ บมจ. โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ในเดือนมีนาคม 2562 ใน
ขณะเดียวกันธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากรายได้ขายที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากโครงการมาเลเซียและกลุ่มพาร์เท็กซ์ (Partex) ส่งผลให้ปตท. และบริษัทย่อยใน 1Q2563 มีขาดทุนสุทธิ โดยมีกำไรสุทธิลดลง ประมาณ 30,866 ล้านบาท หรือลดลง 105 % เที่ยบไตรมาส 1/62 ที่มีกำไร 29,312 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มปตท. ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีการบริหารจัดการและออกมาตรการต่างๆ โดยการจัดตั้ง PTT Group Vital Center เพื่อวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมีมาตรการระยะสั้น ได้แก่ การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายผ่านนโยบาย “ลด-ละ-เลื่อน” ซึ่งในไตรมาส 1/63 กลุ่ม ปตท. สามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในส่วนนี้ จาก 4Q2562 ประมาณ 3,600 ล้านบาท ความร่วมมือในการทำ PTT Group Optimization เพื่อบริหารอุปสงค์ อุปทาน ปริมาณสินค้าคงคลังให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการบริหารสภาพคล่องและรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน ของกลุ่มปตท.
