MTC เตรียมขายหุ้นกู้ 6 พันลบ. ทริสคงเครดิต BBB+ ชูกำไรแกร่ง

HoonSmart.com>>ทริสจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ 6,000 ล้านบาทของบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล ที่ระดับ”BBB+” แนวโน้ม คงที่ สะท้อนความยั่งยืนผู้นำตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน กำไรที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ควบคุมได้ แหล่งเงินทุนหลากหลาย สภาพคล่องเพียงพอ

บริษัททริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB+” ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงิน ไปใช้ในการชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยั่งยืนของบริษัทในการเป็นผู้นำตลาดในผลิตภัณฑ์หลักคือการให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกัน รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด คุณภาพของสินทรัพย์ที่ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดี แหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย และสภาพคล่องซึ่งอยู่ในระดับที่เพียงพอ

บริษัทมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศที่ครอบคลุมทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ชนบทระดับตำบลในจังหวัดต่าง ๆ ทั้งนี้ ณ เดือนธ.ค. 2562 บริษัทมีสาขาทั้งสิ้น 4,107 สาขา เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากจำนวน 506 สาขาในปี 2557 สินเชื่อรวมคงค้างก็เติบโตมาอยู่ที่ 6.03 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 26% จากปี 2561 จากสมมติฐานที่ทริสเชื่อว่าบริษัทจะต่อยอดธุรกิจจากความชำนาญในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์และขยายเครือข่ายสาขาและฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสถานะทางการตลาดของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งอยู่เช่นเดิมในระยะปานกลาง

ส่วนการทำกำไรของบริษัทแม้ว่าจะอ่อนแอลงเล็กน้อยในปี 2562 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROA) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 7.6% จากระดับ 8.6% จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แคบลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทริสเชื่อว่าผลประกอบการทางการเงินจะยังคงแข็งแกร่ง บริษัทจะยังคงควบคุมต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายดำเนินงาน พร้อมทั้งยังรักษาการขยายตัวของสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย

ทริสคาดว่าบริษัทจะยังคงนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดและมีกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพต่อไป เพื่อที่จะควบคุมหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ณ เดือนธ.ค. 2562 บริษัทอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 1.0% ซึ่งลดลงจากระดับ 1.1% ในปี 2561 โดยบริษัทตั้งเป้าจะรักษาระดับไม่เกิน 2% ในปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็ลดลงเช่นเดียวกันมาอยู่ที่ 2.9 เท่า จาก 3.0 เท่า ขณะที่มีแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลาย สามารถเข้าถึงเงินทุนจากทั้งตลาดเงินและตลาดทุนได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจำนวนทั้งสิ้น 1.7 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมี.ค. 2563 จากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งอีกเช่นกัน โดย 50% ของวงเงินดังกล่าวนั้นบริษัทยังไม่ได้เบิกใช้