HoonSmart.com>>หุ้นกลุ่มพลังงานชี้นำตลาด สัปดาห์นี้จะทยอยประกาศผลงานไตรมาส 1/2563 บล.บัวหลวงคาดจุดต่ำสุด ขาดทุนรวม 1.3 หมื่นล้านบาท เจอ 3 เด้ง เงินบาทอ่อน ขาดทุนสต๊อก ผลกระทบโควิด หากไม่รวมรายการพิเศษ คาดกำไรหลัก 2.5 หมื่นล้านบาท กลยุทธ์หาจังหวะเก็บ หวังกำไรตีกลับแรงไตรมาส 2 ชอบ TOP -PTT บล.กสิกรไทยชี้เป้าไทยออยล์ 51 บาท เคทีบี ให้แค่ 38 บาท ตีมูลค่า PTTGC 43 บาท บล.เคจีไอ แนะนำให้ทยอยซื้อสะสม IRPC บริษัทไทยออยล์คาดราคาน้ำมันิบสัปดาห์นี้ WTI อยู่ในกรอบ 15-20 ดอลลาร์ เบรนท์แกว่ง 20-25 ดอลลาร์
สัปดาห์นี้ถึงคิวหุ้นกลุ่มพลังงานประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2563 ประเดิมด้วยบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) โดยบล.บัวหลวงคาดกำไรของกลุ่มทำจุดต่ำสุด คือขาดทุนสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากทั้งผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงและค่าใช้จ่ายพิเศษจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและขาดทุนสินค้าคงคลัง หากไม่รวมรายการพิเศษคาดกำไรหลัก 2.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 38% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 31% จากไตรมาส 4/2562 (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารหรือ SG&A ของ PTT ลดลงมาสู่ระดับปกติจากไตรมาสก่อน)
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/2563 ประเมินกำไรปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยคาดกลุ่มต้นน้ำหรือ Upstream จะยังคงรายงานกำไรอ่อนแอ แต่กลุ่มโรงกลั่นคาดกำไรฟื้นตัว ทั้งจากไตรมาสก่อนและระยะเดียวกันปีก่อน หากสถานการณ์ไวรัสเริ่มดีขึ้น และการปิดเมืองเริ่มผ่อนคลาย น่าจะเห็นอุปสงค์ของกลุ่มปิโตรเคมีและน้ำมันดิบฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามคาดราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัวในกรอบจำกัดจากภาวะล้นตลาด แม้จะมีการลดกำลังการผลิตลง โดยรวมคาดกำไรของกลุ่มโรงกลั่นจะเติบโตต่อเนื่องจากทั้งอุปสงค์ที่ฟื้นและต้นทุนที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ
“เราชอบบริษัทไทยออยล์ (TOP) ที่สุดในกลุ่ม สำหรับต้นน้ำชอบบริษัทปตท.( PTT)” บล.บัวหลวงระบุ
บล.กสิกรไทย คงคำแนะนำ “ซื้อ” ไทยออยล์ ราคาเป้าหมาย 51 บาท จากค่าการกลั่น (GRM) และราคาน้ำมันที่คาดจะฟื้นตัวขึ้นหลังสามารถควบคุมโควิด-19 ไว้ได้ คาดไตรมาส 1/2563 ขาดทุน 1.54 หมื่นล้านบาท จากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่คาดกำไรหลักติดลบเล็กน้อยจาก GRM ที่ต่ำ ภาพรวมไตรมาส 2/2563 ดีขึ้นจากไตรมาส 1 แต่ยังอ่อนแอจากค่าพรีเมียมน้ำมันดิบและราคาน้ำมันที่ลดลง
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ยังคงแนะนำ “ถือ” TOP ราคาเป้าหมาย 38 บาท ไตรมาส 1/2563 ขาดทุน 1.7 หมื่นล้านบาท ต่ำสุดของปี จากขาดทุนสต๊อกสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ขาดทุนจากเงินบาทอ่อนค่า 2,500 ล้านบาท ประเมิน Market GRM ที่ 2.5 ดอลลาร์/บาร์เรล ในขณะที่ไตรมาส 2 คาดว่าจะฟื้นตัวจากต้นทุนน้ำมันดิบที่ต่ำ และกลับสำรองด้อยค่าน้ำมัน คาดช่วงเดือน เม.ย. จะเป็นจุดต่ำที่สุดของความต้องการน้ำมัน
ขณะที่ราคาหุ้น 3 เดือนปรับลง -35% และ 1 เดือนปรับขึ้น 30% ซึ่งตลาดน่าจะรับรู้คาดการณ์ผลกำไรไตรมาส 1/2563ที่จะออกมาขาดทุนมากที่สุดไปแล้ว และคาดการฟื้นในไตรมาส2แล้วเช่นกัน ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดที่ระดับค่าเฉลี่ย EV/EBITDA ที่ 7.0 เท่า
“ราคาเป้าหมายที่ 38 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 7.0 เท่า (ค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา) ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลง และปัจจัยที่ต้องติดตามคือท่าทีของ OPEC+ ต่อราคาน้ำมันระดับต่ำ ซึ่งอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการประชุมนัดพิเศษเพื่อพยุงราคาน้ำมัน”บล.เคทีบีระบุ
สำหรับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) บล.เคทีบีฯปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท อิง EV/EBITDA ที่ 6.5 เท่า (เฉลี่ย 7 ปี) ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ถูกลง แม้ว่าบริษัทจะขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1 สูงถึง 5,000 ล้านบาท จากสต็อก 5,000 ล้านบาท และขาดทุนจากค่าเงินบาทอ่อนค่า 1,500 ล้านบาท มีการปิดซ่อม olefin cracker 40 วัน ทั้งนี้ผลกำไรปกติไม่รวมสต็อกจะอยู่ราว 1,700 ล้านบาท คาดว่าไตรมาส 1 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้
แนวโน้มไตรมาส 2 PTTGC จะฟื้นตัวแรง กำไรปกติ 1.5 หมื่นล้านบาทไม่รวมสต็อก จากต้นทุนราคาน้ำมันที่ลดลง และกลับมาเปิด olefin cracker เป็นปกติ และมีโอกาสที่จะต้อง cut run น้อย เพราสินค้าที่บริษัทผลิตส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จำกัด บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตน้ำมัน jet ไปเป็นน้ำมัน diesel แทนได้ และไม่มี gasoline นอกจากนี้ส่วนต่าง PX ทั้งไตรมาส 1 และ 2 ยังค่อนข้างดีที่ 260-290 ดอลลาร์/ตัน เพราะมีความต้องการจาก downstream
ราคาหุ้น 3 เดือนปรับลง -24% ในขณะที่ 1 เดือนปรับขึ้น 54% ซึ่งตลาดน่าจะรับรู้คาดการณ์ไตรมาส 1 จะออกมาขาดทุนมากที่สุดไปแล้ว และเชื่อว่าผลกระทบจากโควิดไม่รุนแรงเท่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” PTTGC แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 33 บาท คาดกำไรไตรมาส 2 ฟื้นตัวจากขาดทุนสต๊อกลดลง และมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยน แต่ค่าการกลั่นยังต่ำ ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2563 ขึ้น +31% จาก 3,700 ล้านบาท เป็น 4,900 ล้านบาท แต่ไตรมาส 2 ยังกังวลกับกำลังการผลิตใหม่ของ PE ที่จะเข้ามาในปี 2563 อุปสงค์ที่ยังอ่อนแอถ้าโควิดยังไม่จบ ค่าการกลั่นน้ำมันต่ำเพราะมีกำลังผลิตโรงกลั่นใหม่จากเวียดนาม, จีน, มาเลเซีย และซาอุดิอาระเบีย
บล.คิงส์ฟอร์ด ปรับคำแนะนำ “ซื้อ” PTTGC ราคาเป้าหมาย 42 บาท คาดไตรมาส 1/2563 ขาดทุนสุทธิ 7,700 ล้านบาท หลักๆ มาจากการรับรู้ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันรวม NRV ราว 8,000 ล้านบาท และรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 2,000 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรจากธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงราว 980 ล้านบาท เข้ามาชดเชยบางส่วน ในส่วนของผลการดำเนินงานหลักยังอ่อนแอแต่ดีขึ้นจากงวดก่อนหน้า คาดกลับมามีกำไรเล็กน้อย ธุรกิจโรงกลั่น กลับมาเดินเครื่องหลังปิดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผน ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการ กลั่นเพิ่มขึ้นจาก 51% ใน ไตรมาส 4 เป็น 102%
“ไตรมาส 2 จะกลับมามีกำไรจากค่าเสี่ยงสต๊อกและค่าเงินลดลง ผลดำเนินงานงานหลักทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ Olefins / PE ที่เริ่มจะอ่อนตัวลงไปอีกในช่วงต้นไตรมาส เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-2564 ลง -60% และ -29% อยู่ที่ 6,400 ล้านบาท และ 12,000 ล้านบาท ภายใต้การปรับสมมติฐาน Market GRM 3.80/4.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคา HDPE 780 ดอลลาร์/ตัน ให้น้ำหนักผลดำเนินงานไปในครึ่งปีหลังที่จะมีกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ ORP และ PO/Polyols เข้ามา รวมถึงหากโควิดคลี่คลายน่าจะทำให้ Sentiment โดยรวมดีขึ้น”บล.คิงส์ฟอร์ดระบุ
ในส่วนบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC) บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) แนะนำ “ถือ” คงราคาเป้าหมาย 2.80 บาท คาดไตรมาส 1/2563 จะขาดทุนสุทธิถึง 8,800 ล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันมากถึง 7,300 ล้านบาท หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบร่วงลงมาจาก 65 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนธ.ค. 2562 เหลือเพียง 34 ดอลลาร์/บาร์เรลในเดือนมี.ค. 2563 นอกจากนี้ยังคาดว่า base GRM ของ IRPC จะลดลงถึง 50% จากไตรมาสก่อน เหลือแค่ 0.9 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสเปรดของทั้งน้ำมันเบนซิน, น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซลลดลงทั้งหมดเพราะสถานการณ์ โควิด
” เราแนะนำให้ค่อยๆ ซื้อสะสม IRPC หลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอในงวดไตรมาส 1/2563 ออกมาแล้ว เพราะคาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 2 เนื่องจากจะไม่มีผลขาดทุนก้อนใหญ่จากสต๊อกน้ำมันและคาดว่า base GRM ก็จะพุ่งสูงขึ้นด้วย”บล.เคจีไอระบุ
ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรล crude premium ในเดือนพฤษภาคมลดลง โดยทางซาอุดิอาระเบียได้ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการ (OSP) มาตลาดเอเซียให้ส่วนลด 7.3 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดเพิ่มจากเดือนเม.ย.อีก 4.2 ดอลลาร์ และความหวังว่า spread ของผลิตภัณฑ์จากการกลั่นจะเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์โควิด แต่บริษัทมีแผนจะลดอัตราการกลั่นลงจากระดับปกติ 10% ในไตรมาส 2 เพื่อสะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่ลดลงจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าอุปสงค์ปิโตรเคมีในตลาดโลกจะถูกกระทบจากโควิดตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป
บริษัทไทยออยล์คาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้(วันที่ 27 เม.ย. – 1 พ.ค. 2563 )ว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส จะเคลื่อนไหวในกรอบ 15-20 ดอลลาร์ น้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 20-25 ดอลลาร์/บาร์เรล