หุ้นไฟฟ้าแรงดีเกินคาด โดยเฉพาะหุ้นขวัญใจมวลชน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) และ บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราคาย่อลงมาเมื่อไร ก็มีแรงซื้อเข้าไปรับตลอด เป็นเพราะนักลงทุนเชื่อมั่นในทิศทางการเติบโตทุกปี แต่ปี 2563 เกิดวิกฤต”โควิด”ระบาดไปทั่วโลก เศรษฐกิจไทยจะหดตัวลงรุนแรง กระเทือนทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจไฟฟ้าจะเติบโตได้ดีเหมือนที่ผ่านมาจริงหรือ
“ปรียนาถ สุนทรวาทะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) กล่าวยืนยันว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพราะการมีฐานลูกค้าที่เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายรายและหลากหลาย ช่วยให้ยอดขายรวมเติบโต แม้ว่าบางอุตสาหกรรมจะลดการใช้ไฟฟ้าลงบ้าง แต่ก็มีอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูงขึ้น เช่น ธุรกิจอาหาร นอกจากนี้ยังมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 28 เมกะวัตต์ (MW) ที่จะทยอยเข้ามาใช้ตลอดทั้งปี รวมถึงการมีโครงการใหม่เข้ามาเติม เช่น โรงไฟฟ้าอ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม กำลังการผลิตติดตั้ง 123 เมกะวัตต์ (MW) แต่ยังทยอยรับรู้ได้ไม่มาก ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1 โตมากกว่า 9-10% แต่มั่นใจว่ารวมทั้งปีนี้จะโตได้ถึงเป้าหมาย 15%
ขณะเดียวกันต้นทุนทางการเงินก็ลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่บริษัทประมาณการไว้ก่อนหน้านี้
” เรามอนิเตอร์ลูกค้าตลอด ยอดขายสุทธิยังคงเติบโต ส่วนเรื่องดอกเบี้ยเดิมเราจ่ายในอัตราที่ต่ำมาก เมื่อแบงก์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ต้นทุนยิ่งลดลง แต่ในไตรมาส 1/2563 ค่าเงินบาทอ่อนลงมาก จากประมาณ 29 บาท/ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์ เรามีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเกิดขึ้น ซึ่งทุกไตรมาส เราไม่ได้นำเรื่องกำไรหรือขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนมาคิด เพราะไม่ได้เกิดขึ้นจริง โดยรวมแล้วไตรมาส 1 ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน และมีกระแสเงินสดหลายหมื่นล้านบาทรองรับสำหรับการลงทุนและชำระหนี้”
ส่วนการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ “ปรียนาถ” ยืนยันว่ายังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ แม้ว่าจะเดินทางไปต่างประเทศ หรือบางจังหวัดไม่ได้ ก็มีการประชุมทาง vdo conference เพียงแต่มีการขนส่งสินค้าจากจีนล่าช้าบ้าง ทำให้การก่อสร้างของโครงการที่เกาหลีชะลอ 2-3 เดือน แต่ไม่มีผลมากนัก ส่วนการขยายธุรกิจซื้อขาย LNG ในเวียดนาม จะเร่งให้เสร็จโดยเร็ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นกลับเป็นผลดี บริษัทมีการเลือกและพิจารณาโครงการหลายมุมมองมากขึ้น แม้ว่าโครงการที่สนใจก่อนหน้านี้เป็นโครงการที่ดีก็ตาม เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม หรือโครงการในบังคลาเทศ ซึ่งในที่สุด มั่นใจว่าเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5,000 MW ในปี 2565 และ 10,000 MWในปี 2570 ถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
มาร์เก็ตติงกล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นไฟฟ้าปรับตัวขึ้นเร็ว เกิดจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุน หลังจากสถาบันไทย ขายหุ้นเก็บเกี่ยวกำไรสร้างผลงานพอร์ต และนักลงทุนไทยเข้ามาเก็งกำไร แม้นักวิเคราะห์ออกมาเตือนให้ระวังแล้วก็ตาม เพราะราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าเหมาะสมไปมาก
ส่วนที่แนะนำให้ซื้อ คือ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์( EA) ปีนี้กำไรนิวไฮอีกครั้ง โรงไฟฟ้าทั้งจากพลังงานลมและโซลาร์ฟาร์ม จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิต 664 เมกะวัตต์ เป็นปีแรก และจะเริ่มรับรู้รายได้จากผลิตภัณฑ์สารเปลี่ยนสถานะหรือ PCM ที่จะเริ่มผลิตและส่งออกตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ ล่าสุดผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ใหม่ 15,000 ล้านบาท เดินหน้าสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเฟสที่ 1 ขนาดกำลังการผลิต 1 กิ๊กะวัตต์ชั่วโมงต่อปี คาดเริ่มผลิตทันภายในปี 2563 ที่สำคัญ EA ราคายังขึ้นมาไม่มาก เทียบกับ GULF,BGRIM,GPSC แม้ว่าทั้ง 3 ตัวหลังจะมีกำไรนิวไฮก็ตาม
ในส่วน BGRIM เทรดที่ P/E กว่า 40 เท่า บล.ทิสโก้ แนะนำให้ขายออก และสลับไปลงทุนในบริษัท ราช กรุ๊ป(RATCH) ที่มี P/E เพียง 15.38 เท่า และบริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) P/E แค่ 10.72 เท่าแทน
ไม่ต้องพูดถึง GULF แตกพาร์ใหม่ 1 บาท/หุ้น ราคาวิ่งถึง 40 บาท เท่ากับราคา 200 บาท เปรียบเทียบพาร์เดิมที่ 5 บาท ฝ่าวิกฤต”โควิด”ไปไกลมาก น่าจะมองเป็นจังหวะ”ขาย”มากกว่า “ซื้อ” ถ้าอยากได้ ไม่ต้องรีบร้อน รอจังหวะย่อค่อยเข้าไปเก็บ น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า