โนมูระฯปรับเป้าหุ้นสิ้นปี 1,033 จุด เอเซียพลัสเตือนถึงจุดหมาย 1,264 แล้ว

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นไทยเก่งตีจากติดลบ ปิดบวก 10 จุด ที่ 1,272 จุด เสียงเตือนดังขึ้น สูงกว่าเป้าที่ บล.โนมูระ พัฒนสินให้ใหม่ 1,033 จุด คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,300-790 จุด หลังปรับลดเศรษฐกิจปีนี้  – 6.3%  กำไรต่อหุ้นบจ. ในกรอบ 60.80 บาท กดดันเงินทุนไหลออก แนะเหลือหุ้นในพอร์ต 30-40% ชูกลยุทธ์ทยอยซื้อ ADVANC-AOT-CPALL-CPF-BEM-BDMS-HMPRO-KTC-TASCO บล.เอเซียพลัสเตือนตลาดใกล้ปรับฐาน ไปต่อยาก แบ่งขายทำกำไร BAM-DCC ซื้อ EA-STA

ตลาดหุ้นวันที่ 23 เม.ย. 2563 ผันผวน เปิดบวกก่อนลงไปติดลบในช่วงบ่าย ซื้อขายที่ 1,260 จุด สุดท้ายปิดที่ 1,272.53 จุด +10.72 จุดคิดเป็น +0.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 69,265.94 ล้านบาท สถาบันซื้อ 1,971 ล้านบาท รายย่อยช่วยเก็บ 1,463 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง 2,765 ล้านบาท

นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ตามแรงซื้อหุ้นพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ ทั้ง WTI และเบรนท์ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางตลาดน้ำมัน และตลาดหุ้นไม่ปกติ จึงมีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวผันผวนต่อไป

บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) เปิดเผยว่า ทีมกลยุทธ์ปรับดัชนีเป้าหมายปีนี้ใหม่ ลงมาอยู่ที่ระดับ 1,033 จุด หลังจากโนมูระปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2563 เป็น -6.3% แต่ปรับเพิ่มปี  เป็น 3.8%ในปีหน้า ณ ระดับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 33-45 เหรียญฯต่อบาร์เรล (เดิม 60 เหรียญฯ) และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 0.25% ในไตรมาส 2 หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอนสูง และความเสี่ยงการขยายเวลาล็อกดาวน์ในหลายจังหวัด รวมถึงภาวะภัยแล้ง อาจส่งผลกระทบเศรษฐกิจยาวนานกว่าที่ประเมินไว้ และไตรมาส 2 จะหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ หากย้อนรอยวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008  พบว่ามีโอกาสที่กำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นจะถูกปรับลดลงอีกมาก โดยปี 2008-2009 ถูกปรับลงราว 20-30% รอบนี้จึงมีโอกาสเห็นคาดการณ์กำไรตลาดปัจจุบันของ Consensus ที่ 78-79 บาทต่อหุ้น ถูกหั่นลงไปอีกในกรอบ 70-60 บาทต่อหุ้นได้ ทำให้เกิดภาพเงินทุนไหลออก เดิมคาดกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 80 บาทลงสู่ 65.6-60.8 บาท

แนวโน้มตลาดในไตรมาส 2 ยังเป็นภาพของการค้นหาฐาน/หรือทดสอบจุดต่ำสุดเดิม ประเมินกรอบการแกว่งตัวในช่วงที่เหลือของปีที่ 1,300-790 จุด ดังนั้นเราเห็นความเสี่ยงขาลงของตลาดมากกว่าที่จะปรับขึ้น ทีมกลยุทธ์ จึงแนะนำน้ำหนักการลงทุนหุ้น/กองทุนตราสารทุนในระดับต่ำราว 30-40% ของพอร์ต  แนะนำหุ้นที่มีธุรกิจยั่งยืน และหากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ DCA อย่างสม่ำเสมอเพื่อระยะยาว และซื้อเพิ่มน้ำหนักอย่างมีนัยฯขึ้น กรณี ดัชนีแกว่งลงสู่กรอบสะสมเชิงพื้นฐานกรณีเศรษฐกิจหดตัว คือ ระดับดัชนี 960-870 จุด  หุ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มอาหาร (CPF) กลุ่มขนส่ง (BEM), กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS), กลุ่มปรับปรุงบ้าน (HMPRO) และกลุ่ม Cashless (KTC) ผสานหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันต่ำ(TASCO)

นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงลบต่อการรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวเดือนมี.ค. ที่ลดลงถึง 76% สู่ 8.2 แสนคน โดยนักท่องเที่ยวจีนลดลงแรงมาก 94% นักท่องเที่ยวหลักอื่นก็ลดลงในอัตราสูงเช่นกัน เช่น มาเลเซียหดตัว -70% รัสเซียอ่อนตัว -40% ญี่ปุ่นลดลง -83% อินเดียลดลง -91% และเกาหลีใต้ลด -94% สำหรับในเดือนเม.ย. คาดนักท่องเที่ยวจะลดลงแรงมากเกือบ -100% เพราะสายการบินหลายแห่งทยอยหยุดให้บริการ และประเทศไทย ได้ประกาศห้ามอากาศยานบินเข้าไทยตั้งแต่ช่วงต้นเม.ย.ที่ผ่านมา จึงคาดว่ากลุ่มโรงแรมจะมีผลประกอบการขาดทุนปกติ -1,942 ล้านบาท  โดยจะขาดทุนตั้งแต่ไตรมาส 1-3 แม้จะกลับมามีกำไรได้ในไตรมาส 4 แต่ก็ยังคงลดลงกว่าไตรมาส 4/2562 ดังนั้นจึงแนะนำเพียง Neural ต่อกลุ่มโรงแรม โดยไม่มีหุ้นเด่น

ด้านบล.เอเซีย พลัส (ASP) เชื่อว่าดัชนีมีโอกาสที่จะต้องปรับฐานในระยะสั้น  กลยุทธ์เลือกหุ้นที่ปรับตัวขึ้นช้า โดยนำหุ้น EA เข้าพอร์ต และขายทำกำไร BAM และ DCC อย่างละ 5% ของพอร์ต Top Picks เลือก EA มูลค่าเหมาะสม 49 บาท และ STA มูลค่า 14 บาท ทั้งนี้  EA จะมีกำไรปกติเติบโต 8.9% มาอยู่ที่ 6,400 ล้านบาท ทำ New High อีกครั้ง จากการรับรู้โรงไฟฟ้าลมหนุมาน 260 เมกะวัตต์ เต็มที่ทั้งปี และราคา Laggard กลุ่มไฟฟ้า ถือเป็นโอกาสลงทุน  เช่นเดียวกัน STA  แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2563 จะฟื้นตัวโดดเด่นอยู่ที่ 813 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุนสุทธิ 149 ล้านบาทในปี 2562 มีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจถุงมือยาง (20% ของรายได้รวม)  ธุรกิจยางพารา (80% ของรายได้รวม) ก็จะฟื้นตัวเช่นกัน  นอกจากนี้ STA ก็ได้ประโยชน์จากทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่อง หนุนประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น

สำหรับมุมมองหุ้นมีความเสี่ยงต่อการที่จะปรับฐานราคาลงเพราะ 4 ปัจจัยคือ 1. รอบนี้ดัชนีลงไปต่ำสุด 969.08 จุด จากฐานบริเวณ 1,500 จุด หรือลดลงกว่า 530 จุด หลังจากนั้นก็ดีดตัวกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบันมาอยู่ที่ 1,261 จุด ถือว่าปรับตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดกว่า 30% หลักการทางเทคนิคเป็นจุดที่เตือนว่ามีโอกาสที่จะปรับฐานลงมา 2. มูลค่าทางพื้นฐาน บนคาดการณ์กำไรต่อหุ้นของตลาดปี 2563 ที 72.62 บาท/หุ้น และให้ Market Earning Yield Gap ที่ 5% จะให้ค่า P/E เป้าหมายที่ 17.4 เท่า คิดเป็นดัชนีเป้าหมายที่ 1,264 จุด ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือ Upside 3. มีความเป็นไปได้มากที่ประมาณการกำไรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาจต้องปรับลดประมาณการ ส่งผลต่อเนื่องถึงดัชนีเป้าหมายปรับลดลง และ4.สถานการณ์โควิดอาจไม่เห็นการผ่อนคลายมากอย่างที่คาด อาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งการลงทุนในตลาดหุ้น และภาพรวมเศรษฐกิจ