ดาวโจนส์ปิดลบ 590 จุด น้ำมันดิบติดลบครั้งแรกปิด -37.63 ดอลลาร์

HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 590 จุด น้ำมันดิบติดลบครั้งแรกที่ -37.63 ดอลลาร์ ด้านตลาดหุ้นยุโรปสวนทางขยับบวกเล็กน้อย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดตลาดวันที่ 20 เมษายน 2563 ที่ 23,650.44 จุด ร่วงลง 592.05 จุด หรือ 2.44% หลังจากราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ West Texas Intermediate ในตลาดนิวยอร์ก เมอร์แคนไทล์ เอ็กซ์เชนจ์(New York Mercantile Exchange:NYMEX ) งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมดิ่งลง 55.60 ดอลลาร์หรือมากกว่า 306% มาปิดที่ -37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,823.16 จุด ลดลง 51.40 จุด, -1.79%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,560.73 จุด ลดลง 89.41 จุด, -1.03%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 55.90 ดอลลาร์หรือ 306% ปิดที่ -37.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนลดลง 2.51 ดอลลาร์หรือ 8.94% ปิดที่ 25.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาปิดเมื่อวานนี้เป็นการปิดที่ระดับติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการซื้อขายสัญญาน้ำมันในตลาด NYMEX เนื่องจากความต้องการลดลงจากผลกระทบของการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพราะการใช้มาตรการล็อคดาวน์ของหลายประเทศทั่วโลกที่มีผลให้ประชาชนอยู่กับบ้าน

เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้างวดเดือนพฤษภาคมหมดอายุ ผู้ที่ถือสัญญาไว้ต้องรับมอบน้ำมัน ผู้ที่ขายสัญญาต้องส่งมอบ การที่ราคาน้ำมันดิบที่ติดลบหมายความว่า ผู้ขายต้องจ่ายเงินเพื่อให้มีการรับมอบน้ำมันออกไป

การลดลงอย่างมากของราคาน้ำมันดิบได้กลบปัจจัยบวกการตรียมการที่จะกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งของหลายประเทศ ทั้งในรัฐนิวยอร์กของสหรัฐ ยุโรป เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการใช้มาตรการล็อคดาวน์

จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกสะสมเพิ่มขึ้นเกินกว่า 2.4 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 160,000 คน

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่วุฒิสมาชิกยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องมาตรการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม แต่ก็มีกำหนดที่ลงคะแนนบ่ายวันอังคารตามเวลาในสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ในวันอาทิตย์นายสตีเว่น มนูชินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า มาตรการเพิ่มเติม 350 พันล้านดอลลาร์เพื่อช่วย SME ใกล้จะบรรลุข้อตกลงกับวุฒิสมาชิก

นอกจากนี้นักลงทุนยังจับตาผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนที่ประเมินว่าจะย่ำแย่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงินปี 2008 จากผลกระทบของมาตรการล็อคดาวน์ โดยคาดว่าจะหดตัว 14.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ธนาคารกลาง (เฟด) สาขาชิคาโก เผย ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐจำนวน 85 รายการ เดือนมีนาคมลดลงมาที่ระดับ -4.19 จาก +0.06 ในเดือนกุมภาพันธ์

หุ้นเชฟรอนลดลง 4.13% หุ้นเอ็กซอนโมบิลลดลง 4.72%

หุ้นโบอิ้งลดลง 6.75%

หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) เพิ่มขึ้น 0.26% แม้กำไรสุทธิในไตรมาส 1ดีกว่าคาดแต่ยอดขายต่ำกว่าคาด

หุ้นโนวาร์ตีส บริษัทยาจากสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 1.98% หลังจากจะเริ่มทดสอบในระยะที่ 3 กับการใช้ยา hydroxychloroquine ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย กับผู้ป่วยจำนวน 440 ราย การ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อดูว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ หลังได้รับอนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA)

หุ้นวินน์ รีสอร์ตลดลง 6.6%

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเล็กน้อย แม้ราคาน้ำมันดิบร่วลงจนติดลบเป็นครั้งแรก นำโดยกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่เพิ่มขึ้น 1.8% ขณะที่กลุ่มรถยนต์ลดลง 1% จากรายงานข่าวว่า หุ้นโนวาร์ตีส บริษัทยาจากสวิตเซอร์แลนด์ได้รับอนุญาตจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ให้เริ่มทดสอบการใช้ยา hydroxychloroquine ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย ในระยะที่ 3 กับ กับผู้ป่วยจำนวน 440 ราย ประกอบกับประเทศในยุโรปเริ่มกลับมาผ่อนคลายการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะเยอรมนี หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดลดลง

ตลาดคาดว่าสภาสหภาพยุโรปจะประกาศตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ ขณะที่ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า ธนาคารกลางสหภาพยุโรป(ECB) จะประชุมระดับสูงเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง Bad Bank หรือ บริษัทบริหารสินทรัพย์

เดือนกุมภาพันธ์สหภาพยุโรปเกินดุลการค้า 23 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นจาก 18.5 พันล้านยูโรปในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,812.83 จุด เพิ่มขึ้น 25.87 จุด, +0.45%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 335.70 จุด เพิ่มขึ้น 2.23 จุด, +0.67%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,528.30 จุด เพิ่มขึ้น 29.30 จุด, +0.65%,

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,675.90 จุด เพิ่มขึ้น 50.12 จุด, +0.47%