MINT ลั่นพร้อมฟื้นทุกเวลา ความต้องการท่องเที่ยวล้นตลาด

HoonSmart.com>>ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฝ่าไวรัสโควิด  ปรับกลยุทธ์ปี 2563 ตลอดเวลา ลดต้นทุน รักษาสภาพคล่องให้ดีที่สุด มั่นใจสถานการณ์คลี่คลาย  คาดความต้องการท่องเที่ยวล้นตลาด บริษัทพร้อมฟื้น  ช่วงได้รับผลกระทบเน้นลงทุนระยะยาว ที่สร้างการเติบโต  บริษัทมีสภาพคล่องที่ดี พันธมิตรสถาบันการเงินพร้อมหนุนการลงทุน  ตั้งงบปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งฉิ่ว ล่าสุดเฉียดซิลลิ่ง

หุ้นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)ยังคงโดดเด่นต่อเนื่อง เป็นที่ต้องการของนักลงทุน วันที่ 14 เม.ย. ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเกือบชนเพดานสูงสุด15% ในภาคเช้า ขึ้นไปสูงสุด 23 บาท ก่อนปิดที่ 22.30 บาท บวก 2.20 บาทหรือ 10.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 1,594 ล้านบาท หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มดีขึ้น นักวิเคราะห์ 15 รายให้ราคากลาง 25.15 บาท และราคาเฉลี่ย 26.91 บาท

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยกับ www.HoonSmart.comว่า บริษัทได้รับผลกระทบ จากไวรัสโควิด-19 จึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่ตลอดเวลา และลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้หากสถานการณ์ฟื้นตัวขึ้นมา บริษัทฯเตรียมรับมือพร้อมตลอดทุกช่วงเวลา คาดว่าความต้องการท่องเที่ยวมีมากขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯได้มีแผนการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพิจารณาเป็นโปรเจคต่อโปรเจค ต้องเป็นการลงทุนที่สามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯได้ในอนาคต สำหรับเงินลงทุนจากเดิมตั้งเป้าไว้ประมาณ ปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท มาจากสภาพคล่องของบริษัท และสถาบันการเงินที่ช่วยเหลือทางการเงินมาโดยตลอด

ส่วนการเลื่อนจ่ายปันผล บริษัทฯยังต้องทบทวนการจ่ายปันผลของปี 2562 อีกครั้ง รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้น MINTขึ้นสูงสุด 42.75บาท และระดับต่ำสุดอยู่ที่ 13.50 บาท  สาเหตุที่ปรับตัวลงไปต่ำมาก เพราะธุรกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดหนักมาก  ทั้งธุรกิจ โรงแรม และร้านอาหาร  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่หดตัวลงแรง และการห้ามเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงการล็อกดาวน์ กรุงเทพ และหลายจังหวัด ทำให้รายได้ทรุดลงแรง

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการบริษัทฯพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.50 บาท รวมเป็นเงิน 2,310 ล้านบาท และขออนุมัติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่เกิน 25,000 ล้านบาท เป็นส่วนเพิ่มเติมจากวงเงินที่ได้รับอนุมัติโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งก่อนๆ จำนวน 95,000 ล้านบาท และเมื่อคำนวณรวมกันที่ยังไม่ได้ไถ่ถอนทั้งหมด ณ ขณะใดขณะหนึ่งต้องไม่เกิน 120,000 ล้านบาท อายุจะต้องไมเกิน 20 ปี แต่ได้เลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาออกไปก่อน

ณ สิ้นปี 2562 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 13,330 ล้านบาท และเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย 25 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2562 มีกำไรสุทธิ 10,697.93 ล้านบาท พุ่งขึ้น 137% จากปี 2561 มีกำไรสุทธิ 4,507.67 ล้านบาท  โดยใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ในไตรมาส 4/2562 ด้วยการขายโรงแรมร่วมทุนสามแห่งในประเทศมัลดีฟส์ ได้แก่ อนันตราเวลิ, อนันตรา ดิห์กูและ นาลาดูไพรเวท ไอสแลนด์ ได้เงินสดรับนำไปชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่เดิม ส่วนกำไรจากการขายสินทรัพย์จะช่วยเพิ่มฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนหนี้สินส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงอยู่ที่ 1.3 เท่า ณสิ้นปี ทั้งนี้ การขายโรงแรมออกไป บริษัทยังคงมีรายได้จากการบริหารโรงแรมต่อไป

ขณะเดียวกัน ปี 2562 รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนยสำคัญในอัตรา 57% รวมงบการเงินของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป และรายได้ของทั้งสามธุรกิจที่อยู่อยู่เดิม EBITDA จากการดำเนินงานเติบโต 42% ช้ากว่าการเติบโตของรายได้สาเหตุส่วนใหญ่เนื่องจากรวมงบการเงินของเอ็นเอส ที่มีความสามาราถในการทำกำไรที่ต่ำกว่าความสามารถในการทำกำไรเดิมของบริษัท จากโครงสร้างธุรกิจให้เช่าบริการ ส่วนกำไรสุทธิโตน้อยกว่าส่วนใหญ่มาจากต้นทุนทางการเงินที่ใช้ในการลงทุนเอ็นเอช โฮเทลฯเกิดขึ้นเต็มปี และอัตราภาษีที่สูงของเอ็นเอช โฮเทลฯ รวมถึงผลกระทบจากการแปลงค่าเงิน

ณ สิ้นปี 2562  บริษัทมีสาขาร้านอาหารทั้งสิ้น 2,377 สาขา แบ่งเป็นสัดส่วน 50% สำหรับสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,198 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 1,179 สาขา  โดยเป็นสาขาในประเทศไทย 1,578 สาขา สัดส่วน  66% และสาขาในต่างประเทศ 799 สาขา  สัดส่วน 34% ใน 25 ประเทศครอบคลุมทั่วทวีป เอเชีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป ประเทศแคนาดา และประเทศเม็กซิโก  ทั้งนี้เป็นสาขาของเดอะ พิซซ่าคอมปะนี 570 สาขา  สเวนเซ่นส์   322 สาขา บริษัทเพิ่งซื้อธุรกิจของ บอนชอน มีสาขาจำนวน  46  แห่ง