หยุด! ไล่ราคาหุ้น เปิด10 ตัวขึ้นช้ากว่าตลาด

HoonSmart.com>>การลงทุนทั่วโลกกลับมาดีขึ้นเกินคาดการณ์ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา (7-10 เม.ย.63) ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งแรงถึง 12.7% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวขึ้นกว่า 7.83% ปิดที่ระดับ 1,228 จุด การดีดขึ้นมาแรงและเร็วรอบนี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่ง เกิดปรากฎการณ์หุ้นหลายตัวราคาขึ้นชนซิลลิ่ง 15%  สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนกล้าลุย เน้นตัวใหญ่ พื้นฐานดี ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทะยานล้ำหน้าตลาดไปหลายก้าว แต่จะไปต่อได้อีกไกลแค่ไหน ตอนนี้มีความเห็นต่าง คือ “ไปต่อ” กับ “ปรับตัวลง” เสียงเตือนเริ่มทำงานให้ระวังตัว ยังมีข่าวที่คาดไม่ถึงอีกมาก ที่สำคัญอย่าไล่ซื้อ ใจเย็นๆ รอโอกาสเหมาะ จะได้ของดีราคาถูกกว่านี้อีกมาก

 

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (13 มี.ค.-10 เม.ย.2563) พบว่า หุ้นในกลุ่ม SET100 มีความโดดเด่นหลายตัว หุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงมากกว่า 25% ใน 20 อันดับแรก ได้แก่ THAI , STPI , SGP , DTAC , GPSC , PTTGC , BJC , TQM , PTT , AWC , GULF , BGRIM , PTTEP , PRM , IVL , SUPER , JAS , EGCO , TRUE และ ORI เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำการซื้อเพื่อสะสม แต่ราคาอาจจะผันผวนตามสถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบของโควิด-19 แตกต่างกันไป นักลงทุนไม่ควรไล่ตามราคาหุ้น

นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นบางตัวที่ราคาปรับตัวขึ้นมามาก เช่น THAI เนื่องจากผลประกอบการได้รับผลกระทบมาก จากการยกเลิกเที่ยวบิน และภาคการท่องเที่ยวหดตัวลง รวมถึงการปรับโครงสร้างเงินทุนใหม่ อาจจะมีการเพิ่มทุนจดทะเบียน ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นเดิม

JAS ยังเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ต้องระวัง จากการที่นักเก็งกำไร และการจ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง ซึ่งมองว่าปี 2563 จะสามารถจ่ายปันผลได้ในอัตรา 20-30 สตางค์ต่อปี จากผลประกอบการที่ไม่ค่อยดี  ปีก่อนหน้าจ่ายมากกว่า 1 บาทต่อหุ้น เนื่องจากการขายสินทรัพย์และนำเงินมาจ่ายปันผลขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายและรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย ณ วันที่  31 ธ.ค.2562

ขณะเดียวกันในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ยังมีหุ้น 27 ตัว ที่ราคาติดลบ  ระหว่าง 0-20% เมื่อเทียบกับวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้แก่ MAJOR,THANI, MINT, MTC , SPRC, COM7 , ERW, TCAP,BGC,PSH,PSL, PTG, CENTEL, MBK,RS,SAWAD,JMT,BH,AP,KCE,TPIPP,TASCO,TISCO,CPN,BBL,THG และ CHG  เรียงลำดับจากติดลบมาก 20.54% ลงไปหาน้อยสุด 0.00 % ทั้งนี้ 10 อันดับแรก -7.00% มากกว่า

ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจัดทำ SET NOTE เรื่อง”เมื่อเศรษฐกิจจีนกำลังจะเดินต่อ ธุรกิจไทยจะเดินได้ตาม” โดยมีบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ที่อยู่ในภาคการผลิตและมีความเชื่อมโยงกับจีนทั้งที่มีรายได้และการลงทุนในจีน ณ สิ้นปี 2562 จำนวน 45 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวม 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของมาร์เก็ตแคปทั้งตลาด

ในรายงานระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ในจีนคลี่คลาย และกำลังซื้อจะเดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติในช่วงต้นเดือนเมษายน พร้อมกับการเฝ้าระวังการกลับมาระบาดซ้ำ เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยที่มีความเชื่อมโยงกับจีน กำลังซื้อในประเทศจีนจะกลับสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะดีต่อผู้ส่งออกสินค้าไปจีน และเมื่อ supply chain ในจีนกลับสู่ภาวะปกติ จะเป็นผลดีกับผู้ผลิตในไทยที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าจากจีน

ภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับจีนในปี 2562 จีนมีมูลค่าการนำเข้าสินค้าจำนวน 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 21% ของมูลค่าการนำเข้าจากทั่วโลก โดยกลุ่มสินค้าที่นำเข้ามากที่สุดได้แก่ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ รวมกันคิดเป็น 40% ของมูลค่าการนำเข้าจากจีน

มูลค่าการส่งออกสินค้าไปจีน 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 12%ของการส่งออกไปทั่วโลก โดยกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกมากที่สุดได้แก่ เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง 3 กลุ่มนี้รวมกันคิดเป็น 40% ของมูลค่าการส่งออกไปจีน

ส่วนภาคบริการที่เสี่ยงต่อการระบาด ยังคงต้องรอให้ควบคุมสถานการณ์และป้องกันการระบาดซ้ำได้ก่อนทั้งในจีนและทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม การรวบรวมข้อมูลนี้อาจไม่ครบถ้วนทั้งหมด ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบจ.อย่างถี่ถ้วนและใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการตัดสินใจลงทุนในช่วงที่ตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง

บล.ไทยพาณิชย์ เตือนให้นักลงทุนระมัดระวัง จากราคาสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มขึ้นมาก  สัปดาห์นี้เป็นการเริ่มต้นเข้าลงทุนรอบใหม่  ควรทยอยเพิ่มนํ้าหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีเป็นหลัก

ท่ามกลางความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาส 1/2563 อาจแย่กว่าคาดการณ์ได้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทิศทางราคานํ้ามันดิบที่มีความผันผวน และติดตามมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลไทย หลังจากประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ 26 มีนาคม  คงจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนนับจากนี้ไป เช่น อาจจะมีการจํากัดเวลาในการทํากิจกรรมต่างๆ มากขึ้น

ล่าสุด VIX Index (ดัชนีความผันผวน หรือดัชนีแห่งความกลัว) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 30 ถือว่าดีขึ้นและ Dollar index ทรงตัวบริเวณ 100 ตอบรับธนาคารกลางทั่วโลกออกโรงประคับประคองเศรษฐกิจและตลาดการเงิน อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สหรัฐทุ่มเงินช่วยเหลือภาคธุรกิจวงเงินกว่า 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ ไทยออกมาตรการระยะที่ 3 มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท การการแพร่ระบาดไวรัสดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ความมั่นใจส่งผลดีต่อเนื่องถึงอัตราผลแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น พันธบัตร 10 ปีอยู่ที่ 0.73% และ 2 ปีอยู่ที่ 0.23%  ส่วนไทยกลับลดลงเพาะเชื่อว่าธปท.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย อายุ 2 ปี อยู่ที่ 0.68% 10 ปี อยู่ที่ 1.38% รวมถึงต่างชาติยังคงขายหุ้นต่อเนื่อง  ส่วนตลาดหุ้นไทย ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาตอบรับปัจจัยลบส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไว้ใจสถานการณ์ไม่ได้  ”

สรุปนักวิเคราะห์ประสานเสียงหุ้นได้ผ่านจุดต่ำไปแล้ว ท่ามกลางภาวะเงินท่วมโลก  ฝีมือธนาคารกลางต่างอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าพยุงเศรษฐกิจ ดูแลระบบการเงิน คงจะไม่เห็นดัชนีต่ำกว่า 1,000 จุด  หากไม่มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงหรือมีปัจจัยลบใหม่ๆ เชื่อว่าสถานการณ์ไวรัส จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ทุกคนจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดียิ่งขึ้น