HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัสมองหุ้นไตรมาส 2 ผันผวนสูง มีโอกาสต่ำกว่า 1,000 จุด กรอบเคลื่อนไหว 942-1,242 จุด เงินบาทอ่อน ต่างชาติยังไม่เข้ามา ได้เงิน SSF พิเศษ 26,000 ล้านบาทช่วยพยุง แกะไส้ในนโยบายลงทุนเหมือนกองเดิม เน้น PTT-CPALL-AOT-BDMS ส่วนนักลงทุนต้องการเก็บลงทุนเชียร์ SEAFCO- GULF-BGRIM-BAM-TFG แถม INTUCH กลุ่มพลังงานราคาลงแรงเกินไป ซื้อได้ PTT-PTTEP
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายวานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) มองทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาส 2/2563 ยังคงผันผวนสูง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับลงต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด ให้กรอบความเคลื่อนไหว 942-1,242 จุด เป็นจังหวะที่ดีเข้าซื้อหุ้นลงทุนในระยะยาว คาดสถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้นในไตรมาส 3 ให้กรอบดัชนีปีนี้ 970-1,264 จุด หลังปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้โตติดลบ 1.4% เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเร็วขึ้น มีโอกาสติดลบมากกว่า 0.1% ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องใช้มาตรการคิวอี นโยบายการคลังยาวไปจนถึงไตรมาส 2
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการไหลออกของเม็ดเงินต่างชาติ นับตั้งแต่ต้นปี เงินไหลออกจากตลาดหุ้นจำนวน 1.1 แสนล้านบาท ตลาดตราสารหนี้1แสนล้านบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงกว่า 8% สถานการณ์นี้เงินยังไม่ไหลกลับในเดือนเม.ย. แต่มีเงินลงทุนจากกองทุน SSF พิเศษ ที่เริ่มขายหน่วยลงทุนในวันที่ 1 เม.ย.นี้ เข้ามาพยุงตลาดหุ้นได้ เบื้องต้นประเมินเม็ดเงินเข้ามาไม่เกิน 26,000 ล้านบาท โดยเงินทุกๆ 10,000 ล้านบาทจะส่งผลให้ดัชนีเปลี่ยนแปลงไปราว 1-2% ดังนั้น เม็ดเงินจำนวน 26,000 ล้านบาท ไม่น่าจะเกิน 4-5% ในภาวะปกติ ทั้งนี้จะต้องประเมินสภาวะแวดล้อมของตลาดต่อไป และมีช่วงเวลาซื้อเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีเพียง 3 เดือน ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย.2563
“SSF พิเศษ จำนวน 18 กองทุน มี 14 กองทุน ที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายๆของเดิม ซึ่งพบว่าหุ้นที่ได้รับความนิยมลงทุน 5 อันดับแรก คือ PTT มากที่สุด 11 กองทุน จาก 14 กอง ตามด้วย CPALL 9 กอง AOT และ BDMS ”
บล.เอเซียพลัสได้ปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ครั้งที่ 3 จากที่เคยประมาณการไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท ล่าสุดฝ่ายวิจัยฯ ได้ปรับลดมาอยู่ที่ 7.8 แสนล้านบาท ลดลง 2.19 แสนล้านบาท หรือลดลง 16.5% ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ลดเหลือ 72.62 บาท จากเดิม 95.71 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 17.8% กลุ่มที่ถูกปรับลดมากที่สุด กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี 1 แสนล้านบาท ปรับสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 65 ดอลลาร์/บาร์เรล เหลือ 40 ดอลลาร์ และ Spread ปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับต่ำ ธนาคารพาณิชย์ กำไรถูกปรับลด 5.3 หมื่นล้านบาท หลังจากลดดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ปีนี้น่าจะปรับลดอีก 1 ครั้ง รวม 3 ครั้ง เศรษฐกิจตกต่ำ กลุ่มขนส่งทางอากาศและโรงแรม โควิดจะทำให้กำไรลดลง 4.7 หมื่นล้านบาท กลุ่มสื่อสาร มีต้นทุนจากการประมูลคลื่น 5G เพิ่มขึ้น คาดกระทบกำไร 9,500 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่แนะนำลงทุน โดยเลือกหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรง และมีโอกาสปรับตัวขึ้นแรง เช่น BAM เป้าหมาย 31 บาท ให้น้ำหนักที่มูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครองมากกว่า 2.5 แสนล้านบาท สูงกว่าต้นทุนถึง 2.2 เท่า คาดหวังคาดอัตราผลตอบแทนปันผล 4-5% เหมาะสำหรับการซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว GULF มองเป็นโอกาสทยอยซื้อสะสม เป้าหมาย 162 บาท เคิบโตระยะยาวจากงานในมือสูง BGRIM หาจังหวะทยอยซื้อสะสม เป้าหมาย 56 บาท คาด 4 ปีข้างหน้ากำไรทำนิวไฮ
SEAFCO เป้าหมาย 9.30 บาท ราคาลงมามากจนอัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้สูงถึง 7.98% เทรดที่ P/E เพียง 7.29 เท่า ไตรมาส 1 กำไรฟื้นตัวชัดเจน จากรายได้สูงขึ้น 700-800 บาท เทียบกับในไตรมาส 4 ที่ 600 ล้านบาท กำไรจะโดดเด่นจาก 85 ล้านบาท มีงานใหม่เข้ามามาก ส่วน TFG เป้าหมาย 4.80 บาท คาดกำไรปี 2563-2564 โต 21.8% และ 9.4% จากธุรกิจสุกรในไทย เวียดนาม และตลาดส่งออกไก่
บล.เอเซียพลัสให้หลีกเลี่ยง TASCO มูลค่าเหมาะสม 18.10 บาท โดนห่างเลขจากโควิด ราคาน้ำมันต่ำสุดในรอบ 16 ปี อยู่ที่ 31.38 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 51% นับตั้งแต่ต้นปี เช่นเดียวกับราคายางมะตอยตลาดสิงคโปร์ ลดลง 50% มีความเสี่ยงสูงที่จะขาดทุนจากสต็อกจำนวนมากในไตรมาส 1 แม้ว่ามีการป้องกันความเสี่ยง ด้วยสัญญาขายล่วงหน้าน้ำมัน 30%ที่ซื้อมาในแต่ละครั้งแล้วก็ตาม เบื้องต้นประเมินขาดทุนสต็อกไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท ทำให้ไตรมาส 1 ขาดทุนสุทธิ และลูกค้าส่วนใหญ่ 50% อยู่ในจีน ขอยืดระยะเวลารับมอบสินค้า รวมทั้งปีคาดกำไรจะหดตัว 49% เหลือ 1,602 ล้านบาท