BDMS ยกธงขาว ถอยตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น BH “รายย่อย” เจ็บ มากกว่า “หมอเสริฐ”

HoonSmart.com>>ศึกการเข้าครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover) ในบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ต่อสู้กันมานานเกือบ 1 เดือน แค่ยกแรกก็รู้ผลแล้วว่าใครเป็นผู้ชนะ ระหว่าง “กลุ่มโสภณพนิช” ที่รุกหนัก กับ “หมอเสริฐ” นพ.ปราเสริฐ ประสาททองโอสถ ที่ประกาศก้องให้โลกรู้ว่าจะทุ่มเงิน 85,000-100,000 ล้านบาท กินรวบโรงพยาบาลเบอร์ 1 ของประเทศไทย

แต่ที่บาดเจ็บหนักกว่าคู่ชกทั้งสองกลุ่ม เห็นจะเป็นนักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยที่ตามแห่เข้าไปไล่ซื้อหุ้น BH จากราคาอยู่ที่ 112 บาท กระโดดขึ้นไปถึง 130 บาท เมื่อรับข่าวดี เรื่องบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) จะเปิดรับซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดจากนักลงทุนทั่วไป (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ในราคาหุ้นละ 125 บาท และอาจจะมีแถมอีก 20% ตกประมาณ 150 บาท ซึ่งถ้าดีลสำเร็จ ก็จะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ภายใต้ความเสี่ยงไม่มากนัก

แต่เกมส์กลับพลิกล็อค เมื่อธนาคารกรุงเทพ (BBL) ฮึดสู้ แปลงหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญ ได้หุ้น BH เพิ่มขึ้นอีก 8.26% เมื่อรวมกับหุ้นทั้งหมดของกลุ่มโสภณพนิช เชื่อว่าจะมีมากกว่า จำนวน 24.92% ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ

และจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เกิดขึ้นในวันที่ 25 มี.ค.2563 เมื่อคณะกรรมการบริษัท BDMS ประกาศยกเลิกการจัดประชุมผู้ถือหุ้นและวาระการพิจารณาทั้งหมด ซึ่งเรื่องสำคัญคือการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ BH ยกเหตุผลการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีความรุนแรง ส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงขอรอให้สถานการณ์คลี่คลายก่อน บอร์ดถึงจะพิจารณาเพื่อประเมินผลกระทบต่างๆว่ายังสมควรที่จะให้บริษัทเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์อีกหรือไม่

การส่งสัญญาณถอยของ”หมอเสริฐ” ครั้งนี้ ย่อมมีผลกระทบต่อราคาหุ้น BH ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อย่างแน่นอน

เพราะที่ผ่านมา หุ้น BH ปรับตัวลงมาน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะมี “เบาะ” ตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นที่ราคา 125 บาท รองรับไว้ แต่ตอนนี้กลับ “ถูกดึงออกไปแล้ว” แรงกระแทกจะรุนแรงแค่ไหน ยากที่จะคาดการณ์ได้

หากเปรียบเทียบกับภาวะตลาดโดยรวมเฉพาะในเดือนมี.ค. (1-25) หุ้นดิ่งลงเกือบทั่วทั้งกระดาน  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทรุดหนักเกือบ 20% แต่หุ้น BH กลับประคับประคองไว้แถว 128.50 บาทได้  ไม่ลงสักบาท ทั้งๆที่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยตรงและมากที่สุด เนื่องจากมีรายได้จากลูกค้าต่างชาติสูงถึง 66% เมื่อไม่สามารถเดินทางเข้ามารับบริการได้ รายได้ก้อนนี้จะหายไปเกือบทั้งหมด มีเพียงลูกค้าต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนรายได้จากลูกค้าคนไทย เชื่อว่าลดลงมากเช่นเดียวกัน

สัญญาณขาลงของ BH เห็นชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2562 แม้ว่าธุรกิจจะมีจุดแข็งหลายเรื่องก็ตาม แต่เมื่อเจอภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงแรง จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยืดเยื้อ ย่อมกระทบเงินในกระเป๋าของลูกค้า ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน ทำให้รายได้รวม เพิ่มขึ้นเพียง 1% อยู่ที่ 18,718 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิลดลง 9.7% เหลือประมาณ 3,748 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิร่วงลงจาก 22.4% เหลือแค่ 20%

ปัจจุบันสถานการณ์ไวรัสแพร่ระบาดรุนแรงไปทั่วโลก ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะคลี่คลายและจะเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด ยิ่งสร้างแรงกดดันต่อกำไรของ BH มากขึ้นเรื่อยๆ

หากพิจารณาข้อมูลของนักวิเคราะห์ 14 ราย ให้ราคาเฉลี่ยและราคากลางหุ้น BH ประมาณ 131 บาท/หุ้น ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ “ถือ” มีขายเพียง 2 รายคือ บล.ธนชาตให้เป้าหมายเพียง 110 บาท และบล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)ไม่ระบุราคา โดยบล.บัวหลวง เป็นเพียงรายเดียวที่เชียร์ให้ซื้อ ประเมินมูลค่าเหมาะสม 150 บาท ต้องลุ้นว่าหากไม่มีการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นที่ราคา 128 บาทพยุงไว้ จะลงไปถึงระดับไหน ถ้าร่วงแรงๆ ก็น่าสนใจทยอยเก็บไว้ลงทุน จะต้องติดตามดูว่าหุ้นจะไปหยุดที่จุดใด…

อ่านข่าว

BDMS ส่อล้มเทนเดอร์หุ้น BH หลังโควิด-19 ป่วนหนัก