JMT มั่นใจธุรกิจบริหารหนี้แกร่ง-เงินสดพร้อมประมูลหนี้

HoonSmart.com>>เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์คฯ เปิดภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพไตรมาส 1/2563 แข็งแกร่ง ท่ามกลางไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด ทยอยเก็บหนี้ที่ซื้อมาช่วงครึ่งหลังปี 62 พอร์ตหนี้ปัจจุบันมากกว่า 1.77 แสนล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง มองแนวโน้ม NPL ในระบบเพิ่มหนุนสถาบันการเงินทยอยขายหนี้สูงขึ้น เป็นโอกาสซื้อหนี้เข้ามาบริหาร คาด Q2/63 เห็น

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจยังเป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจาก JMT มีพอร์ตบริหารหนี้สะสมในปัจจุบันอยู่ที่ 177,000 ล้านบาท และสามารถทยอยรับรู้รายได้จากกระแสเงินสด (Cash collection) ที่สามารถเก็บเข้ามาได้อย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี

บริษทฯ ประเมินในช่วงไตรมาสแรกของปี สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นปัจจัยกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและประชาชนในวงกว้าง บริษัทฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แม้ภาพรวมไม่ได้กระทบบริษัทฯ โดยตรง JMT ยังสามารถผลิตกระแสเงินสดและสร้างความมั่นคงของกำไรสุทธิได้อย่างแข็งแกร่ง

ขณะที่สถานการณ์ในปัจจุบัน มองว่าจะมีแนวโน้ม NPL ในระบบเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินจะมีการทยอยขายหนี้ด้อยคุณภาพออกมามากขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ JMT สามารถขยายพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้ โดย JMT เป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจบริหารสินทรัพย์แบบไม่มีหลักประกัน และขยายมายังสินทรัพย์แบบมีหลักประกัน ตั้งเป้าปีนี้วางงบลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารที่ 4,500 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

“ภาพรวมการจัดเก็บหนี้ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 1/2563 การเก็บเงินสด (Cash collection) ยังเป็นไปตามปกติ ใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทฯ ยังบริหารจัดการได้ และในแง่การลงทุนซื้อหนี้ใหม่ ก่อนหน้านี้ ประกาศปิดดีลการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพประเภทไม่มีหลักประกันเข้ามาบริหารมูลค่ารวมเกือบ 3,000 ล้านบาท จากสถาบันการเงินชั้นนำแห่งหนึ่ง สะท้อนความไว้วางใจจากสถาบันการเงิน และเป็นสัญญาณว่าปีนี้น่าจะมีหนี้ออกมาจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างประมูลเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพในไตรมาส 2/2563 เพิ่มเติมอีก วางงบลงทุนทั้งปีที่สูงขึ้นจากปีก่อน โดยพิจารณาการซื้อหนี้ที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารเป็นสำคัญ” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

ด้านธุรกิจประกัน ภายใต้การบริหารของ บริษัท เจพี ประกันภัย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ JMT ถือหุ้น 55% มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากเบี้ยประกันภัยเติบโตขึ้นและมีคุณภาพ โดยเฉพาะการตอบรับอย่างท่วมท้นของผลิตภัณฑ์ประกันภัยไวรัสโควิด-19 ในการนำเสนอช่องทางการขายของบริษัทในเครือ ประกอบกับ มองว่าการลดต้นทุนด้วยการปรับพอร์ตที่มีอัตราส่วนความเสียหาย (Loss ratio) และเพิ่มสินค้ากลุ่ม Non-motor ที่อัตรากำไรดีกว่าเพิ่มขึ้น เป็นอีกปัจจัยเสริมความแข็งแกร่งให้ JMT ปีนี้