บล.ดีบีเอสฯ ยก TOP เบอร์ 1 โรงกลั่น

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ วิเคราะห์หุ้นโรงกลั่นหลังราคาน้ำมันดิบดิ่ง 50% ส่งผลดีทำให้ต้นทุนลดลง  “ไทยออยล์” ได้ประโยชน์สูงสุด ซื้อน้ำมันจากแหล่งตะวันออกกลางถึง  74% ประสิทธิภาพการกลั่นสูง  พิจารณาจากต้นทุน-ส่วนสูญเสียต่ำ 

นางอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลดลงถึง 50% มาอยู่ที่ 32.76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในวันที่ 13 มี.ค. 2563 หลังเกิดสงครามราคาน้ำมัน ไวรัสโควิด-19 ระบาดทั่วโลก ความต้องการใช้ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลต่อโรงกลั่น ค่าพรีเมี่ยมเคยสูงกว่า 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก่อนมาอยู่ที่ 1 เหรียญและตอนนี้ติดลบ 4 เหรียญ

ปัจจุบันราคาน้ำมันที่ลดลงแรง ส่งผลดีต่อโรงกลั่น ต้นทุนมีแนวโน้มต่ำลง แต่การเลือกลงทุนต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพในการกลั่น  พบว่า  บริษัทไทยออยล์ (TOP) ดีที่สุด มีต้นทุนการกลั่น  1.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล 1.4  เหรียญสหรัฐ และ 1.9 เหรียญสหรัฐในช่วงปี 2560-2562  ส่วน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล  (PTTGC ) ปี 2562 อยู่ที่ 1.6 เหรียญ IRPC อยู่ที่ 2.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ TOP ยังมีขบวนการกลั่นมีการสูญเสียเพียง  2% SPRC 2% บริษัทอื่น 3-7%

นางอาภาภรณ์กล่าวว่า  นักลงทุนยังต้องพิจารณาว่าบริษัทแต่ละแห่งมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากที่ไหนบ้าง พบว่า TOP นำเข้าจากแหล่งตะวันออกกลางมากที่สุดถึง 74% ตามด้วย  IRPC 69% บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) 67% และ PTTGC 50%  ขณะที่ บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ไม่ได้นำเข้าจากตะวันออกกลางเลย กลับซื้อในประเทศสัดส่วน 33%

ส่วนราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง แม้คาดว่าจะอยู่ต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไม่นาน  แต่เกิดผลขาดทุนจากสต็อกในไตรมาส 1 ประมาณการว่า TOP ได้รับผลกระทบถึง 5,280 ล้านบาท  และคาดว่าจะมีกำไรในช่วงเดือนเม.ย.-ธ.ค.2563 จำนวน 5,774 ล้านบาท รวมทั้งปีเหลือกำไร 494 ล้านบาท ส่วนโรงกลั่นแห่งอื่นคาดว่ามีขาดทุนสต็อกสูงเช่นเดียวกัน 2,000-3,000 ล้านบาท เมื่อหักกับกำไรจากการดำเนินงาน  SPRC เหลือกำไรเพียง 12  ล้านบาท ส่วน BCP คาดว่าจะขาดทุน

ด้านราคาหุ้น TOP ลงไปต่ำสุดที่ 28 บาท ก่อนเด้งขึ้นมาปิดที่ 35.25 บาท บวก 2.50 บาทหรือ 7.63% เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา