“เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล” เปิดแผนธุรกิจปีนี้คาดกำไรและรายได้เติบโตต่อเนื่อง จากการขายที่ดินซึ่งตั้งเป้าไม่น้อยกว่า 200 ไร่ในนิคมทีเอฟดี 2 ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้ามีแนวโน้มที่ดี และเตรียมจัดตั้งกอง REIT มูลค่าประมาณ 2-2.5 พันล้านบาท จะนำคลังสินค้าบางส่วนเข้ากอง
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) หรือเดิมชื่อ TFD คาดว่ากำไรและรายได้ในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งรายได้จากการขายที่ดิน จะเป็นปัจจัยหลัก เพราะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีอัตรากำไรค่อนข้างสูง มั่นใจว่ายอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ ปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายราย ทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่หลายรายมาจากประเทศจีน ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทย เพราะปัญหาสงครามการค้าสหรัฐและจีน ประกอบกับที่ตั้งของนิคมบริษัทอยู่ในเขต EEC ทำให้มีความน่าสนใจ
โครงการนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 นั้น มีความคืบหน้าไปกว่า 65% คาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินไตรมาสที่ 3 ของปี 2562
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าในไทยเป็นคลังสินค้าให้เช่า มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปีนี้ น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตร.ม. ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตร.ม.
นายอภิชัย กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า (REIT) จะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000-2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563
นอกจากนี้ เมื่อ ก.พ. 2562 บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายโรงงานและคลังสินค้าที่บางเสาธง จำนวน 2 หลัง ซึ่งเป็นโรงงานว่าง 1 หลัง และที่เช่าอยู่แล้ว 1 หลัง คาดจะโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้เข้ามาในไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 มูลค่าขายรวมประมาณ 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มเติมอีก 1 หลัง ซึ่งเร่งจะปิดขายให้ได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2562
สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัทได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการ The Artisan กับพันธมิตรด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศจีน มูลค่าโครงการรวม 6,800 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดจองแล้วเกือบ 60% มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วประมาณ 30% บริษัทคาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดังกล่าวในช่วงปลายปี 2562 เป็นต้นไป