HoonSmart.com>> กลุ่มปูนซิเมนต์ไทย (SCG) ยกระดับเวียดนามเป็น”บ้านหลังที่ 2″ ฐานที่มั่นแข็งแกร่งทางธุรกิจ หลังทุ่มเงินลงทุนร่วม 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 28%ของสินทรัพย์รวม SCG เป็นรองเพียงประเทศไทย โดยมีบริษัทในเครือ 28 แห่ง 25 โรงงาน ผสมผสานการได้เปรียบจากการมีฐานการผลิตหลายประเทศ มาบริหารแบบบูรณาการทั่วอาเซียน (Regional Optimization) ผลักดันเวียดนามที่มีจุดแข็งมากมายให้เป็นฐานการผลิตที่มีอัตรากำไรสูง เพิ่มรายได้ในระยะยาว

“กุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์” รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) , General Director -Long Son Petrochemicals (LSP) และ Country Director – Vietnam,SCG เล่าให้ฟังในโอกาสที่พาคณะสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมธุรกิจของ Prime Group ที่ฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (7-9 ธ.ค. 2568 ) ว่า กลุ่ม SCG เป็นบริษัทต่างประเทศรายแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม หรือกว่า 32 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้ไม่ได้มองเวียดนามเป็นเพียงตลาด แต่มองเป็นบ้านหลังที่ 2 ธุรกิจที่มีอยู่ค่อนข้างครบ เหมือนในประเทศไทย ตั้งอยู่กระจายทั่วประเทศ ทั้งตอนใต้ที่โฮจิมินห์ ตอนกลางที่ดานัง คือธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างรวมถึงซีเมนต์ และตอนเหนือที่ฮานอยคือ ธุรกิจ Prime Group ผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมวัสดุตกแต่งพื้นผิว รวมถึงคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม (LSP) ของบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC)
SCG รุกกลยุทธ์บริหารธุรกิจแบบบูรณาการทั่วอาเซียน (Regional Optimization) ผลักดันเวียดนามให้เป็นฐานการผลิตด้วย 3 เป้าหมายคือ 1.รองรับการบริโภคสูงภายในประเทศ 2.ผลิตสินค้าทดแทนการนำเข้า และ3.ส่งออกไปสู่ตลาดโลก โดยผสานจุดแข็งฐานการผลิตหลากหลายในอาเซียน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยไม่ได้มองเวียดนาม stand alone เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบได้ดียิ่งขึ้น

4 เครื่องยนต์รวมพลังส่ง GDP โต 10%
เวียดนามเป็นดินแดนแห่งโอกาสการเติบโตสูง ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการวางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ทำให้เครื่องยนต์ทั้ง 4 ตัวพร้อมที่จะขับเคลื่อน GDP เติบโตถึง 10%
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 3/2568 GDP มีมูลค่ากว่า 3.27 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวถึง 8% และตั้งเป้าหมายโตเฉลี่ย 10% ภายในปี 2573 SCG พร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับพื้นฐานของประเทศเวียดนามที่แข็งแกร่ง มีประชากรกว่า 106 ล้านคน และกว่า 70% อยู่ในวัยทำงาน อายุเฉลี่ย 32 ปี มีกำลังในการบริโภค ถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญถึง 60%ที่ผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เวียดนามยังเป็นจุดหมายที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง เม็ดเงินลงทุนโดยตรง (FDI)ไหลบ่าเข้ามา ทำสถิติสูงถึง 38.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเม็ดเงินลงทุน FDI มีน้ำหนักต่อ GDP 25%
รัฐบาลยังมีการปฎิรูปประเทศครั้งใหญ่ เช่น การลดจำนวนกระทรวงที่มีอยู่เดิม 18 กระทรวง เหลือ 14 กระทรวง ยุบจังหวัดจาก 63 จังหวัดเหลือ 34 จังหวัด เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารประเทศ ลดการคอรัปชั่น และออกใบอนุญาตรวดเร็วยิ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงเข้ามา รวมถึงการทุ่มงบลงทุนด้านโครสร้างพื้นฐานที่กำลังขยาย ไม่ว่าจะเป็นถนน สะพานและโครงการที่อยู่อาศัย ช่วยผลักดันเศรษฐกิจสัดส่วน 10% คาดว่าการปฎิรูปจะทำให้ในช่วง 3-5 ปี พลิกโฉมประเทศอย่างชัดเจน

SCG ใช้ประโยชน์:ฮับส่งออก
เวียดนามยังเป็นประตู่สู่ตลาดโลกผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 17 ฉบับ ครอบคลุม 60 ประเทศทั่วโลก การส่งออกไปสหรัฐฯและยุโรป ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงการส่งไปขายในประเทศไทย ด้วยต้นทุนที่อาจจะต่ำกว่าที่ผลิตเอง ที่สำคัญ เวียดนามยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ มีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำ และแทบจะต่ำที่สุดในอาเซียน ทั้งค่าแรง ที่ถูกกว่าไทยประมาณ 15-20% ค่าไฟฟ้าก็ต่ำกว่าถึง 30-35% โดยในปี 2569 จะเริ่มส่งออกปูนคาร์บอนต่ำจากเวียดนามไปสหรัฐ
‘ธุรกิจหลัก’ได้อานิสงส์
เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามามาก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทบิ๊กเนมระดับอินเตอร์ มีความต้องการกระดาษและบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงของบริษัทในกลุ่ม SCGP
ขณะเดียวกันเวียดนามกำลังเร่งเข้าสู่ความเป็นเมือง ประชากรวัยทำงานสูงมีกำลังซื้อบ้าน คอนโดมิเนียม รวมถึงความต้องการอาคารพาณิชย์ จำนวนมาก สนับสนันธุรกิจซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น กระเบื้องเซรามิก เติบโตตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
นอกจากนี้เวียดนามมีการตั้งเป้าหมายเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2588 โดยในปีที่ผ่านมารายได้ต่อหัวอยู่ที่ประมาณ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 เติบโตขึ้นกว่า 60% ในช่วงเวลาเพียง 6 ปี สะท้อนถึงการเติบโตของกำลังซื้อในประเทศที่มากขึ้น และเป็นโอกาสสำคัญของธุรกิจภาคบริการและการค้าปลีก
ส่วนโครงการคอมเพล็กซ์ปิโตรเคมี LSP ที่เริ่มกลับมาผลิตในเดือนส.ค.2568 แนวโน้มจะดีขึ้นในปี 2569 ผลิตเต็มปีจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และจะดียิ่งขึ้น เมื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตมาใช้พลังงานก๊าซอีเทนแล้วเสร็จ ต้นทุนการผลิตต่ำลง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรได้ขึ้น
“SCG เข้ามาลงทุนในเวียดนามมานาน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพาร์ทเนอร์ นำเสนอสินค้าที่ถนัดและเก่งมาผลิต เพื่อขายในประเทศ และส่งออกไปทั่วโลก มองว่าตลาดอยู่ตรงไหน เราก็จะไปอยู่ตรงนั้น ยอมรับว่าการลงทุนในประเทศที่กำลังโต ย่อมมีการแข่งขันที่สูง ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี เราจะต้องลงทุนด้านดิจิทัล และ AI เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน พร้อมกับเดินไปข้างหน้าตาม 4 กลยุทธ์ในการปรับตัวอย่างทันท้วงทีของ SCG ได้แก่ การรักษาวินัยทางการเงินอย่างต่อเนื่อง รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน ขยายพอร์ตผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม HVA-Green เพื่อสร้างกำไรส่วนเพิ่ม และรุกตลาดเวียดนามเป็นฐานการผลิต “กุลเชฏฐ์ กล่าว
ชูจุดแข็ง 2 โรงงานปูนที่ไทย-เวียดนาม
นายวิเชษฐ์ ชูเชื้อ Country Director – Vietnam ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า SCG เริ่มเข้ามาทำธุรกิจเทรดดิ้งในเวียดนามนับ 10 ปี ก่อนที่จะลงทุนโรงปูนซีเมนต์ในเวียดนาม เมื่อปี 2560 ปัจจุบันถือเป็นบ้านหลังที่ 2 ถือเป็นจุดแข็ง ทำให้ลูกค้าที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกาสั่งซื้อปูนคาร์บอนต่ำแล้ว และจะเริ่มทยอยรับสินค้าในปี 2569 เกิดจากความมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดเวลาที่ต้องการใช้ เพราะการมีโรงงานผลิตทั้งที่ประเทศไทยและเวียดนาม
นอกจากนี้ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังมีกลยุทธ์สร้างการเติบโต เช่น การมีต้นทุนต่ำแข่งขันได้ และการเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่ไม่ได้มีเพียงปูนซีเมนต์ สามารถตอบสนองการก่อสร้างงานทั้งหมด รวมถึงสินค้า Green และการให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน ESG
โรงงานอยู่ในเวียดนาม ประเทศมีทางออกทางทะเลทุกภาค สามารถขนส่งทางเรือที่มีต้นทุนด้านโลจิสติกส์ต่ำ ถือเป็นจุดแข็งในการส่งออกไปต่างประเทศ เสริมตลาดในประเทศที่ยังมีโอกาสเติบโตสูงมาก คาดการณ์จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์/ คน/ ของเวียดนามอยู่ที่ 605 กิโลกรัม เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น ยังไม่เคยขึ้นไปสูงถึง 1,000 กิโลกรัม ส่วนของไทยเคยขึ้นไปถึงแล้ว กลับลดลงมาเหลือ 570 กิโลกรัม ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วก็ลงมาเหลือ 600-700 กิโลกรัม ส่วนจีนสูงถึง 1,400 กิโลกรัม/คน
ซีเมนต์-วัสดุฯกำไรโตแซงหน้ายอดขาย
ในปีนี้ยอดขายธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเวียดนามน่าจะจบลงที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันทำได้แล้ว 9,000 ล้านบาท คาดว่าภายใน 5 ปี(2569-2573) จะมียอดขายโต 1.4 เท่า ผ่านการลงทุนโรงงานใหม่ไปยังภาคใต้จากปัจจุบันอยู่ที่ภาคกลาง รวมถึงการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้า มีเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายกว่า 200 ราย และผู้ค้าปลีกประมาณ 7,000 ราย และยังมีแผนที่จะซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ส่วนกำไรจะเติบโตได้ดีกว่า เฉลี่ย 30-40% ต่อปี เนื่องจากต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทยประมาณ 10% ธุรกิจซีเมนต์มีต้นทุนหลักจากพลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า คิดเป็นประมาณ 50% ของต้นทุนทั้งหมด ถือว่าโรงงานที่เวียดนามมีต้นทุนต่ำที่สุด และให้ความสำคัญเรื่องซัพพลายเชน จึงมีความสามารถในการส่งออกและแข่งขันในระยะยาว

ปัจจุบันธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนาม มีผู้ผลิตรายเล็กๆหลายราย คู่แข่งรายสำคัญคือบริษัทที่มีรัฐถือหุ้นใหญ่ แต่ตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากการขยายงานของภาคเอกชน และภาครัฐ เช่น การสร้างสนามบิน ทางด่วน รถไฟ และที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม นอกจากนี้ งานของภาครัฐเริ่มมีการบังคับงานก่อสร้างให้ใช้วัสดุสีเขียว ส่วนงานเอกชนยังไม่มีประเด็น Green ปัจจุบันปูนซีเมนต์และปูนเม็ดมีการขายในประเทศสัดส่วน 50-60% ส่งออกประมาณ 40%
“สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำคือการสร้างแบรนด์ ให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังต้องสร้างคนที่เก่ง ที่ผ่านมาคนเก่งมักจะลาออกไปทำธุรกิจเอง รวมถึงการติดตามนโยบายของรัฐ หากมีการเปลี่ยนแปลงก็จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ”
แนวโน้มรัฐบาลเวียดนามยังคงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ผ่านพลังงานและเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับโรงงานปูนซีเมนต์ ที่มีการใช้เชื้อเพลิงทดแทนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการพัฒนาอาคารเขียวในเวียดนาม ซึ่ง SCG ให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมในเวียดนาม
———————————————————————————————————————————————————–

