HoonSmart.com>> “ปตท.”(PTT) เปิดแผนปี 69 เร่งเพิ่มแข็งแกร่งจากภายในกลุ่ม ให้ความสำคัญเรื่องสภาพคล่องที่มีอยู่สูงกว่า 4.1 แสนล้านบาท รับมือความท้าทาย เดินหน้าบริหารสินทรัพย์-ปิดดีลพันธมิตรร่วมทุนกลุ่มปิโตรฯ-โรงกลั่น ปักเป้าเพิ่มกระแสเงินสด 1 แสนล้านบาท เปิดเรือธงใหม่ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เนื้อหอม กว่า 10 กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขอร่วมทุน อนาคตส่งเข้าตลาดหุ้น เผยกลยุทธ์บุกลงทุน รับผลตอบแทนทันที เน้นปลอดภัย รุกเทรดดิ้ง LNG -CCS มุ่งเติบโตยาว

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2569 ยังคงเผชิญกับความท้าทายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม กลุ่มปตท. จึงเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ทั้งระยะสั้น กลางและระยะยาว ผ่านโครงการสำคัญ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและยกระดับผลการดำเนินงาน โดยยังคงเดินหน้าบริหารสินทรัพย์ให้เกิดรายได้และผลตอบแทนพร้อมปรับขนาดให้เหมาะสม รวมถึงการปิดดีลการหาพันธมิตรทางกลยุทธ์เข้ามาลงทุนในธุรกิจเรือธง กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น (PTTGC-IRPC-TOP) โดยปตท. ยังเป็นผู้ถือหุ้นหลัก คาดเพิ่มกระแสเงินสดได้ 1 แสนล้านบาท ส่วนกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นยังไม่ได้ประเมิน
ผลการดำเนินงานในปี 2568 ทำได้ตามเป้าหมาย ในช่วง 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 6.46 หมื่ล้านบาท ลดลง 1.61 หมื่นล้านบาท หรือ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีการบริหารสินทรัพย์ บริหารหนี้ ช่วยเพิ่มกระแสเงินสด 15,000 ล้านบาท และกำไรพิเศษ 5,000 ล้านบาท ส่วนแผนการลดค่าใช้จ่ายตั้งเป้าหมาย 10,000 ล้านบาท ทำได้ 4,000 ล้านบาท จะเร่งดำเนินการในไตรมาสที่ 4 มั่นใจว่าทำได้ตามแผนที่วางไว้ ส่วนในปี 2569 จะยังคงเดินหน้าบริหารทรัพย์สินและลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากราคาน้ำมันน่าจะยังทรงตัวในระดับ 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนมาร์จิ้นปิโตรเคมีต่ำทรงตัว เพราะจีนผลิตออกมามาก และภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัว

” กลุ่มปตท.รักษาการดำเนินงานตามแผนได้ทุกมิติ รวม 9 เดือนมี EBITDA จำนวน 257,957 ล้านบาท ให้ความสำคัญเรื่องการรักษาสภาพคล่อง โดยมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นแข็งแกร่งอยู่สูงกว่า 413,718 ล้านบาท พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล วางหุ้น PTT ว่ามีความมั่นคง จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปีนี้ในอัตราหุ้นละ 0.90 บาท/หุ้น พร้อมเติบโตในธุรกิจที่มีความถนัด ความเสี่ยงต่ำ โดยมีนโยบายลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนกลับมาทันทีและปลอดภัย”นายคงกระพันกล่าว
นอกจากนี้การบริหารสินทรัพย์ของกลุ่มเข้าบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์นิล (PTT Tank) เกิด Synergy ในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน สามารถสร้างเรือธรใหม่ด้านธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานให้เช่า จากการไปโรดโชว์ ได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีกองทุนโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศไม่น้อยกว่า 10 ราย ให้ความสนใจเข้าร่วมลงทุน แต่จะเปิดให้เข้ามาลงทุน หลังจากปตท.มีการกู้ยืมเงินจากธนาคารมาลงทุนเพิ่ม 2 หมื่นล้านบาท เพื่อหาสินทรัพย์ที่มีคุณภาพเข้ามาเสริม ในอนาคตจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันมีสินทรัพย์ทั้งหมดประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นสินทรัพย์ที่เป็นถังเก็บผลิตภัณฑ์ ท่าเรือ ท่อ ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นในบริษัทที่เกี่ยวข้อง

ซีอีโอ ปตท.กล่าวว่า มองเห็นโอกาสในธุรกิจเทรดดิ้งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในอนาคต LNG จะมีบทบาทในตลาดโลกมาก โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีปริมาณ LNG ในพอร์ตการลงทุนถึง 10 ล้านตันภายในปี 2573 และ 15 ล้านตันในปี 2578 ซึ่งต้องมีการลงทุนเพื่อเพิ่มซัพพลาย รวมทั้งลงทุนในตลาดที่มีดีมานด์ ส่วนภาพรวมแหล่ง LNG ในโลก ได้แก่ พื้นที่ตะวันออกกลาง และสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดที่มีการบริโภค อาทิ พื้นที่เอเชียเหนือ เกาหลี ญี่ปุ่น โดยงวด 9 เดือนปี 2568 ปตท.ทำการค้าและการลงทุนใน LNG 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาวประมาณ 1.6 ล้านตันเริ่มมีผลปี 2570 รวมถึงเดินหน้าลงทุนในโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยจะเริ่มดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2571 สามารถกักเก็บได้สูงสุดประมาณ 1ล้านตันต่อปี พร้อมขับเคลื่อนความยั่งยืน ปตท.ยังคงเป้าหมาย
ด้านการลงทุนผลิตรถ EV ในไทยที่มีการร่วมทุนกับฟ็อกซ์คอน (Foxconn) ซึ่งปตท. ได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นลง จาก 60% เป็น 40% โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับ Foxconn ว่าจะรับหุ้นไปทั้งหมดหรือไม่ เพราะเชื่อว่าในช่วง 2-3 ปีนี้อาจยังไม่สามารถสร้างโรงงานได้ ขณะที่ Foxconn มองประเทศไทยเป็นฐานสำคัญในการผลิตรถยนต์ EV ส่วนบริษัทร่วมทุน NV Gotion ซึ่งเป็นโรงงานประกอบแบตเตอรี่ ปัจจุบันโรงงานสร้างเสร็จแล้ว และเริ่มประกอบแบบให้กับลูกค้า ซึ่งจะมีการเจรจากับ NV Gotion ปรับโครงสร้างเพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และสามารถดำเนินงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้น
ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย หมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย ในธุรกิจ Hydrocarbon การลดก๊าซเรือนกระจกสามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกา อีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่ 2
สำหรับธุรกิจ Non-Hydrocarbon ลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ตการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฮอริษอน พลัส ขายหุ้นบริษัท Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืน ปตท. ในส่วนของ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self – Funding)

