ดาวโจนส์ปิดลบ 226 จุด Nasdaq พุ่งจากดีล AI

HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 226 จุด ขณะที่ Nasdaq พุ่งจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้ง Amazon-Nvidia พุ่งขึ้นใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เชื่อมั่นแนวโน้มเทคโนโลยี AI หลังการประกาศข้อตกลงจำนวนมาก ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับตัวเพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ปิดที่ 47,336.68 จุด ลดลง 226.19 จุด , 0.48% ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งจากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ทั้ง Amazon และ Nvidia พุ่งขึ้นใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยความเชื่อมั่นในแนวโน้มเทคโนโลยี AI หลังการประกาศข้อตกลงจำนวนมาก

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,852.97 จุด เพิ่มขึ้น 11.77 จุด,+0.17%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,834.72 จุด เพิ่มขึ้น 109.76 จุด, +0.46%

หุ้น Amazon หนึ่งในกลุ่ม Magnificent Seven ช่วยหนุนตลาด โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 4% หลังจากที่บริษัทบรรลุข้อตกลงมูลค่า 3.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐกับ OpenAI ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะใช้หน่วยประมวลผลกราฟิกของ Nvidia หลายแสนหน่วย

หุ้นของผู้ผลิตชิปก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันหลังจากที่บริษัทศูนย์ข้อมูล Iren ได้บรรลุข้อตกลงระยะยาวมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์กับ Microsoft ที่ส่งผลให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แห่งนี้สามารถเข้าถึง GPU Nvidia GB300 ได้ หุ้น Iren เพิ่มขึ้น 11%

นอกจากนี้ หุ้น Micron Technology เพิ่มขึ้นเกือบ 5% ส่งผลให้หุ้นชิปปรับตัวสูงขึ้น กองทุน VanEck Semiconductor ETF เพิ่มขึ้นเกือบ 1%

ขณะที่ Nvidia เพิ่มขึ้น 2% หลังจากที่ Microsoft ประกาศว่าได้รับใบอนุญาตส่งออกจากรัฐบาลทรัมป์เพื่อจัดส่งชิป Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยการลงทุนทั้งหมดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะมีมูลค่า 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในสิ้นปี 2029

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากหุ้นเทคโนโลยีแล้ว การซื้อขายในส่วนอื่นๆ กลับปรับขึ้นเล็กน้อย โดย
หุ้นกว่า 300 ตัวในดัชนี S&P 500 ปิดตลาดในแดนลบ

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับลงและฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ โดยหุ้น UnitedHealth Group และหุ้น Merck ดิ่งลง 2.3% และ 4.1% ตามลำดับ

กิล ลูเรีย หัวหน้าฝ่ายวิจัยเทคโนโลยีของ D.A. Davidson กล่าวกับ CNBC ว่า ตลาดกำลังมุ่งไปที่ผู้เล่น AI หลัก ๆ ในปัจจุบัน โดยชี้ไปที่ Nvidia, Microsoft, Google และ Amazon รวมถึงบริษัทอื่น ๆ เช่น Palantir เนื่องจากมีความสามารถด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการให้บริการลูกค้า และทุกรายกำลังมองเห็นจุดเปลี่ยนและยังสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงได้อีกด้วย

ขณะเดียวกัน ยังมีการรายงานผลประกอบการต่อนื่องบริษัทต่างๆ ในดัชนี S&P 500 ประมาณ 300 แห่งได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่สามแล้ว และจะมีรายงานอีกกว่า 100 รายในสัปดาห์นี้ รวมถึงจาก Palantir , Super Micro และ AMD

สำหรับหุ้นรายตัวอื่นๆ Kimberly-Clark (KMB) ลดลง 13% หลังได้ประกาศว่าจะเข้าซื้อกิจการ Kenvue ในมูลค่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาหุ้น Kenvue พุ่งขึ้น 14%

นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ทีายังคงทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ล่าช้าออกไป รวมถึงรายงานการจ้างงานที่มีกำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

ขณะเดียวกัน ศาลฎีกามีกำหนดรับฟังข้อโต้แย้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดีทรัมป์

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ โดยสถาบันจัดการอุปทาน (Institute for Supply Management) แสดงให้เห็นว่าภาคการผลิตของสหรัฐฯ หดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน

ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของลดลงมาที่ 48.7 ในเดือนตุลาคมและต่ำกว่า 49.4 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

นักลงทุนรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์นี้ จะถูกตรวจสอบเช่นกัน เนื่องจากค

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก เนื่องจากนักลงทุนประเมินผลประกอบการรอบใหม่ ขณะที่หุ้นกลุ่มยานยนต์ปรับตัวสูงขึ้นจากความคาดหวังว่าโรงงานของ Nexperia ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปของเนเธอร์แลนด์จะกลับมาส่งออกสินค้าได้อีกครั้ง

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่572.28 จุด เพิ่มขึ้น 0.39 จุด, +0.07%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,701.37 จุด ลดลง 15.88 จุด, -0.16
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,109.79 จุด ลดลง 11.28 จุด ,-0.14%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,132.41 จุด เพิ่มขึ้น 174.11 จุด ,+0.73%

หุ้นรถยนต์ปรับตัวขึ้น โดยหุ้น Renault, Mercedes Benz และ Volkswagen เพิ่มขึ้นระหว่าง 1.9% ถึง 2.3% หลังจากแหล่งข่าวกล่าวว่าทำเนียบขาวจะประกาศการกลับมาส่งออก Nexperia จากจีนในเร็วๆ นี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้เข้าควบคุม Nexperia ซึ่งเป็นบนิษทในเครือของบริษัท Wingtech ของจีน ส่งผลให้จีนปิดกั้นไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของ Nexperia ส่งออกจากจีน ส่งผลให้เกิดการหยุดชะงักในการจัดหาสินค้าให้กับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก

หุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 0.6% หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการเพิ่มขึ้น 1.7% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นของ Ryanair

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ลดลง 1.5% โดย Anglo American และ Rio Tinto ร่วงลงกว่า 2%

ในบรรดารายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ หุ้น Siemens Energy พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเพิ่มขึ้น 2.5% หลังจากที่ Morgan Stanley ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายจากแนวโน้มระยะกลางที่ดีขึ้น

Ryanair เพิ่มขึ้น 3.9% หลังคาดการณ์ว่าราคาค่าโดยสารที่ลดลง 7% ในปีที่แล้วจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้

หุ้น Campari ร่วงลง 2.4% หลังจากตำรวจภาษีอิตาลียึดหุ้นมูลค่า 1.29 พันล้านยูโร (1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากบริษัทโฮลดิ้งในลักเซมเบิร์ก ซึ่งควบคุมกลุ่มเครื่องดื่มของอิตาลี โดยอ้างว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษี

ในด้านข้อมูล กิจกรรมการผลิตของโซนยูโรหยุดชะงักในเดือนตุลาคม

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 7 เซนต์ หรือ 0.11% ปิดที่ 61.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 12 เซนต์ หรือ 0.19% ปิดที่ 64.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–