HoonSmart.com>> 4 โบรกเกอร์ส่องหุ้นเด่นในช่วงโค้งท้ายปี 2568 หนีไม่พ้น Domestic play ชู”ค้าปลีก-ท่องเที่ยว”เด่น รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งโครงการคนละครึ่ง และกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่งธปท.มีมุมมองเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ส่วนส่งออกมีแนวโน้มชะลอไม่แรงอย่างที่คาด และยังเข้า High Season ในไตรมาส 4 ท่ามกลางเก็งงบฯไตรมาส 3/68 หุ้นเด่นเล็ง ERW, CPAXT, BGRIM, MTC, GFPT, HANA, OR, SCGP
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า หุ้นเดือนพ.ย.คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ทรงตัว ในกรอบแนวรับ 1,290-1,260 จุด แนวต้าน 1,350 จุด โดยในเดือนนี้จะมีการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และให้ติดตามกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นสำคัญ ซึ่งงบฯไตรมาส 3/2568 จะออกมาหนาแน่นทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยงบไตรมาส 3 ของกลุ่ม Domestic คาดว่าจะออกมาไม่ดีนัก ส่วนต่างประเทศให้มอนิเตอร์กลุ่มเทคโนโลยี และ AI ถ้างบฯออกมาไม่ได้ตามที่คาดหวัง หุ้นก็จะปรับตัวลงมา
นอกจากนี้ จะต้องรอดูว่าจะเคลียร์เรื่องชัตดาวน์ในสหรัฐฯได้เรียบร้อยเปล่าสในเดือนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ประกาศออกมาไม่ได้ การชัตดาวน์แม้จะกดดัน แต่ก็เป็นผลดี ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาอ่อนแอ
อย่างไรก็ดี แนะ Buy on fact ในกลุ่ม Domestic เพราะมาตรการต่าง ๆ ที่กระตุ้นการบริโภคจะช่วยหนุน และยังเข้าสู่ช่วง High Season ของการบริโภคด้วย ดังนั้น กลุ่มค้าปลีก, ท่องเที่ยว จะน่าสนใจ โดยแนะนำ CPAXT ได้ประโยชน์จากมาตรการคนละครึ่ง ส่วนท่องเที่ยว แนะนำ ERW ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ด้านหุ้น Defensive คงไว้ได้จากเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า แนะนำ BGRIM
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ ระบุภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายน คาดว่าจะอยู่ในโหมดทรงตัว โดยในช่วงแรกอาจมีปัจจัยบวกหลงเหลืออยู่บ้างตามทิศทางของตลาดหุ้นโลก ที่น่าจะยังคงมี Sentiment บวกเกี่ยวกับดีลการค้าต่างที่หลงเหลืออยู่ โดยล่าสุดจีนประกาศเตรียมระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากต่างๆ และมีแนวโน้มยุติการสอบสวนที่มุ่งเป้าไปที่บริษัทในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งทําให้ในทางตอบแทน สหรัฐฯอาจชะลอการเก็บ “ภาษีตอบโต้” ของทรัมป์บางรายการต่อสินค้าจีนออกไปอีกหนึ่งปี ในขณะเดียวกัน แรงหนุนจากผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯในสหรัฐฯก็ยังคงดําเนินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้กลุ่มชิ้นส่วนฯขนาดใหญ่ของไทยเช่น DELTA ยังคงเป็นตัวประคับประคองดัชนีได้อยู่ โดยในภาพรวมล่าสุดมีทั้งหมด 318 บริษัทในดัชนี S&P500 ที่รายงานผลประกอบการออกมาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามี Surprises ของยอดขายและกําไรในเชิงบวกอยู่ที่ราว 2.4% และ 5% ตามลําดับ
น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า เดือนพ.ย.เป็นเดือนที่ไม่มีอะไรตื่นเต้นเท่าเดือนต.ค. โดยรวมภาพตลาดคงจะแกว่งไซด์เวย์ มีการเล่นเก็งกำไรตามงบฯไตรมาส 3/2568 ที่ทยอยออกมา และในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็มีมาตรการภาครัฐเข้ามาช่วยหนุนการบริโภค ทั้งมาตรการคนละครึ่ง, มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งจะรับผลเต็ม ๆ ในเดือนพ.ย. อย่างไรก็ดี ตลาดอาจมีความผันผวนจากงบฯที่ทยอยออกมา และ MSCI Rebalance จะประกาศในวันที่ 5 พ.ย.และมีผลวันที่ 24 พ.ย. ซึ่งอาจทำให้ตลาดผันผวนบ้างเหมือนกัน
ทั้งนี้ อาจมีเล่นหุ้นรับราคาน้ำมันปรับตัวลงได้อีก จากกลุ่มโอเปกเพิ่มกำลังการผลิต สำหรับการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนไม่มีอะไร ดังนั้นหันไปโฟกัสตัวเลขเศรษฐกิจจีน ถ้ามีสัญญาณบวกต่อก็จะเล่นกลุ่ม China play ได้ พร้อมให้แนวรับ 1,270-1,250 จุด โดยความน่าสนใจลงทุนให้เลือกเล่นเป็นรายตัวไป โดยเลือกหุ้นที่งบฯออกมาดี และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ
พร้อมแนะนำหุ้น MTC ราคาเป้าหมาย 50.25 บาท คาดงบฯไตรมาส 3/2568 ทำนิวไฮ และ NPL ลดต่อ จึงโดดเด่นสุด อีกทั้งจะมีมาตรการแก้หนี้ น่าจะหนุนกลุ่มไฟแนนซ์ได้ส่วนหนึ่ง และไปลุ้นกนง.ลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.อีก อีกตัวเป็น GFPT ราคาเป้าหมาย Consensus ให้ไว้ที่ 12.90 บาท เนื่องจากไก่ส่งออกดี และต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง รวมถึงมีแนวโน้มฟื้นหลังกินเจ ส่วน HANA ราคาเป้าหมาย 31 บาท จาก GDP จีนออกมาใช้ได้ เริ่มเห็นงบฯฟื้นตัวได้ และการส่งออกยังเติบโตต่อเนื่อง รวมถึง CPAXT ราคาเป้าหมาย 27 บาท เข้าสู่ฤดูกาลในไตรมาส 4 (Seasonal) และยังได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่ง
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า เดือนพ.ย.ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ในลักษณะทรงตัว ในกรอบ 1,290-1,350 จุด โดยการประชุม FOMC มีโอกาสที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่า ซึ่งไม่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น แต่ GDP ไทยเป็นบวกมากขึ้น จากมุมมองของแบงก์ชาติที่มองเป็นบวกมากขึ้น พร้อมให้ติดตามการชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ซึ่งคงจะไม่กระทบมาก แค่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่มีการายงานออกมา
สำหรับกลุ่มโอเปกที่เพิ่มกำลังการผลิตแสนกว่าบาร์เรล/วัน มองว่าไม่กระทบราคาน้ำมันมาก โดยเดือนต.ค.ราคาน้ำมันปรับตัวลงราว 7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ซึ่งโอเปกเพิ่มกำลังการผลิต เพราะต้องการเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ หากดูจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงเทียบกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้หายไปมากกว่า จึงเป็นโอกาสที่โอเปกจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตอีก
พร้อมแนะนำหุ้น OR ราคาเป้าหมาย 21 บาท คาดกำไรปี 2568 ทำนิวไฮจากมาร์จิ้นสูง และหุ้น SCGP ราคาเป้าหมาย 26 บาท การเติบโตดีจากทำผลิตภัณฑ์ปลายน้ำต่อเนื่องจากปิโตรเคมี
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า กลยุทธ์เดือน พ.ย. ตลาดคาดหวังเชิงบวกต่อการบรรลุข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-จีน ด้านนโยบายการเงินมีแนวโน้มทยอยผ่อนคลายลงต่อเนื่อง ทางด้านมาตรการกระตุ้น Quick Big Win จะเริ่มเห็นผลเดือน พ.ย. เป็นต้นไป ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มชะลอไม่แรงอย่างที่เคยคาด จับตากำไรไตรมาส 3/2568 บริษัทจดทะเบียน หากไม่แย่กว่าคาด มอง Downside EPS จำกัด ปรับใช้ SET Target ปี 2569 ที่ 1,400 จุด

