HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับ 1,300 และ 1,285 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,330 และ 1,345 จุด ติดตามปัจจัยต่างประเทศ ถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่เฟด สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนในประเทศ รอดูตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ผลประกอบการบจ.ไตรมาส 3/2568 ด้านค่าเงินบาท ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบเคลื่อนไหวที่ 32.00-32.50 บาท จากสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือนที่ 32.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (3-7 พ.ย. 2568) ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,300 และ 1,285 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,330 และ 1,345 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค. ของไทย ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ของบจ.ไทย สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ยูโรโซน จีน และญี่ปุ่น ยอดค้าปลีกและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค. ของจีน
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นจนไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ระดับ 1,345.86 จุด สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นภูมิภาคท่ามกลางการคาดการณ์ต่อโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในการประชุมช่วงกลางสัปดาห์หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการเจรจาการการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากตัวเลขส่งออกเดือนก.ย. ของไทยที่ขยายตัวสูงเกินคาด รวมถึงแรงซื้อหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งจากผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ที่ออกมาดีกว่าคาด
ต่อมาดัชนีหุ้นย่อตัวลงตามแรงขายของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ ก่อนจะแกว่งตัวในกรอบแคบในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ซึ่งแม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาตามที่ตลาดคาด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากถ้อยแถลงของประธานเฟดสะท้อนว่า อาจจะยังไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. ประกอบกับตลาดได้ตอบรับประเด็นเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนไปพอสมควรแล้วในช่วงต้นสัปดาห์ ส่งผลให้นักลงทุนหันไปสนใจหุ้นบิ๊กแคปที่มีประเด็นเฉพาะตัว อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นย่อตัวลงอีกครั้งช่วงท้ายสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศท่ามกลางแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงาน
ในวันศุกร์ที่ 31 ต.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,309.50 จุด ลดลง 0.34% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 41,770.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.83% ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.23% มาปิดที่ระดับ 226.69 จุด
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์ระหว่างวันที่ 3-7 พ.ย. 2568 ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหว ที่ระดับ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากสัปดาห์ที่ผ่านมา
เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นช่วงต้น-กลางสัปดาห์เช่นเดียวกับสกุลเงินเอเชียและเงินหยวนที่มีแรงหนุนจากสัญญาณบวกเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ขาดแรงหนุนในช่วงก่อนการประชุมเฟด เนื่องจากตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง หลังจากเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าที่คาด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีปัจจัยลบจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงในเดือนต.ค. ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 1 เดือน (นับตั้งแต่ 1 ต.ค. 68) ที่ 32.23 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนลดช่วงบวกและอ่อนค่าลงบางส่วนตามเงินเยนหลังการประชุม BOJ ไม่ส่งสัญญาณในเชิงคุมเข้ม ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นจากท่าทีของประธานเฟดที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบถัดไปในเดือนธ.ค. (แม้ในรอบนี้จะลดดอกเบี้ยลงมาที่ 3.75-4.00% และประกาศเตรียมยุติการลดงบดุลในช่วงต้นเดือนธ.ค.) อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ช่วงปลายสัปดาห์ โดยน่าจะได้รับอานิสงส์บางส่วนจากทิศทางแข็งค่าของสกุลเงินเอเชีย แรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ และตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลมากกว่าที่คาดในเดือนต.ค.
ในวันศุกร์ที่ 31 ต.ค. 2568 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 32.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (24 ต.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 27-31 ต.ค. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,045 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 30,483 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 30,498 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 15 ล้านบาท)
