HoonSmart.com>>”ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป” (TISCO) เปิดผลงานไตรมาส 3/68 กำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อน และ 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น รองรับทุกความท้าทายเศรษฐกิจ NPLs ลดลงมาอยู่ที่ 2.3% สินเชื่อลดลงจากลูกค้ารายใหญ่ชำระคืน สินเชื่อรายย่อยเริ่มดีขึ้น
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 3/2568 มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.16 บาท เพิ่มขึ้น 1%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,713 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.14 บาท และเติบโต 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยรวม 9 เดือนปีนี้ มีกำไรทั้งสิ้น 5,017 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 6.27 บาท ลดลง 3.5% จากที่มีกำไรสุทธิ 5,199 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 6.49 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้กล่าวว่า กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท จากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost-to-income Ratio) อยู่ที่ 43.4% ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลประกอบการโดยรวม สะท้อนผ่านอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ในระดับ 16.6% ในขณะที่ยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ในระดับสูงตามแผนที่วางไว้ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 1.4% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง
ด้านรายได้จากการดำเนินงานขยายตัวได้ถึง 10% ทั้งฝั่งธุรกิจธนาคารและธุรกิจตลาดทุน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวจากต้นทุนเงินฝากที่ปรับลดลงตามภาวะดอกเบี้ยขาลง ซึ่งเป็นโอกาสให้สินเชื่อกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์ใหม่กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยธนาคารทิสโก้สามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึงลูกค้า (Penetration Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ พร้อมต่อยอดรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์ที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น
ส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มขึ้นของฐานลูกค้ากลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการออกกองทุนรวมใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในภาวะตลาดทุนผันผวน ขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์แม้จะอ่อนตัวลงจากปีก่อนหน้า แต่เริ่มฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน หลังความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าสหรัฐฯ คลี่คลายลง นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้ยังรับรู้กำไรจากมูลค่าพอร์ตเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
ในด้านธุรกิจสินเชื่อปรับตัวลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้ธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่กลุ่มสินเชื่อรายย่อยเริ่มกลับมาขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียน โดยกลุ่มทิสโก้ยังคงยึดมั่นในนโยบายการคัดสรรลูกค้าคุณภาพ (Selective Growth) ด้วยการคัดกรองลูกค้าตามเกณฑ์ Responsible Lending Guideline คือการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ตามเกณฑ์รายได้ เป็นธรรม และไม่สร้างความเปราะบางให้กับภาคครัวเรือน พร้อมกับติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อเกิดปัญหาผ่านการปรับโครงสร้างหนี้และการเสนอมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุด เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน จากแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงที่รอบคอบนี้ ส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อยังคงแข็งแกร่ง โดย
อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.3% ของสินเชื่อรวม และมีอัตราส่วนเงินสำรองต่อหนี้เสีย (Coverage Ratio) อยู่ที่ 171% สะท้อนถึงความมั่นคงในการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุมที่กลุ่มทิสโก้ยึดมั่นมาโดยตลอด
นายศักดิ์ชัย กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่ 19% อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ยังต่ำกว่าคาด ปัญหาหนี้ครัวเรือน และค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งล้วนเป็นแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยกลุ่มทิสโก้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพียง 1.9-2.1% ในปี 2568 และลดลงเหลือ 1.6-1.8% ในปี 2569 ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังคงปกคลุมเศรษฐกิจ ยังคงยึดมั่นในแนวทางการเติบโตอย่างมีคุณภาพ พร้อมปรับตัวและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อดูแลลูกค้าอย่างเหมาะสมในทุกสถานการณ์ พร้อมเดินหน้าพัฒนาบริการที่ปรึกษาทางการเงินอย่างครบวงจร ภายใต้บทบาท “Your Trusted Financial Advisor” ที่พร้อมเคียงข้างลูกค้าในทุกช่วงชีวิต
“ไตรมาส 3/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้รวมที่เติบโต 10 % โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3.0% ส่วนรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 25.9% ในทุกธุรกิจ ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย (Bancassurance) ตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยปริมาณการปล่อยสินเชื่อรถใหม่ในงวด 9 เดือนแรกเติบโตถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นเติบโตเช่นกัน ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะตลาดทุนไทยที่ฟื้นตัว รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวจากการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและการออกกองทุนรวมใหม่ในระหว่างไตรมาส นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามมูลค่าพอร์ตเงินลงทุนที่สูงขึ้น “นายศักดิ์ชัยกล่าว
หากเทียบกับกำไรไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น 1 % จากรายได้รวมที่เติบโต 10.1% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1.3% จากต้นทุนเงินทุนที่ปรับลดลง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโต 31.6% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.3%
รวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 5,017 ล้านบาท ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 เป็นผลมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.0% ของสินเชื่อเฉลี่ย สอดคล้องกับแผนการตั้งสำรองกลับสู่ระดับปกติในปีนี้และรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง รายได้รวมเติบโต 2.2% จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ทั้งธุรกิจนายหน้าประกันภัย ธุรกิจจัดการกองทุน พร้อมด้วยการรับรู้ผลกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์อ่อนตัวลง จากผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่อ่อนแอ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 2.8% จากแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568กลุ่มทิสโก้มีสินเชื่อ 230,409 ล้านบาท ลดลง 0.8% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อบริษัทขนาดใหญ่ ในขณะที่สินเชื่อรายย่อยเริ่มกลับมาเติบโต จากสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสองและสินเชื่อมอเตอไซค์ รวมถึงการขยาย Penetration Rate ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ ทั้งนี้ บริษัทยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ ท่ามกลางสภาวะหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการให้การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลงมาที่ 2.3% ของสินเชื่อรวม และรักษาระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 171%
ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.9% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.8% และ 2.2% ตามลำดับ
———————————————————————————————————————————————————–

