HoonSmart.com>>”บลจ.กสิกรไทย” มองแนวโน้มหุ้นไทยฟื้นตัว ปลายปีนี้ 1,340 จุด ส่วนเป้าปีหน้า 1,400-1,450 จุด ชูกองทุน K-VALUE เน้นหุ้นปันผลสูง ทางรอดลงทุนตลาดหุ้นไทยภายใต้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำ ด้วยกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นพื้นฐานแกร่ง จ่ายเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ หนุนผลตอบแทนเงินปันผลกองทุนโดดเด่น ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar สะท้อนคุณภาพการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ รับมือกับภาวะตลาดขาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายวิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยใน 6 เดือนข้างหน้า (ไตรมาส 4/68- 1/69) สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยความเสี่ยงด้านขาลงเริ่มถูกจำกัดจากการฟื้นตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และสัญญาณการปรับประมาณการกำไรที่เริ่มแตะระดับต่ำสุด
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ โครงสร้างประชากร ความสามารถในการแข่งขัน และประสิทธิภาพด้านธรรมาภิบาล ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ขณะที่แรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ทั้งในด้านการผ่อนคลายทางการเงินและการเบิกจ่ายงบประมาณ มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้ แต่จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 2% น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านจากอดีตที่เคยโตเฉลี่ย 7% ต่อปี
นายวิน กล่าวว่า การเติบโตที่ช้าลงของเศรษฐกิจ ส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ทำให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยจึงถูกขับเคลื่อนด้วยบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ในช่วงเติบโตเต็มที่ (Mature Company) เช่น กลุ่มธนาคารและพลังงาน ซึ่งการเติบโตของรายได้มักใกล้เคียงกับ GDP ของประเทศ ทำให้การเติบโตจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) อาจไม่ใช่คำตอบหลัก ในขณะที่คาดการณ์ว่าในอีก 10-15 ปีข้างหน้า ผลตอบแทนรวมของหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งมาจากการเติบโตของกำไรเพียง 1% แต่มาจากเงินปันผลสูงถึง 4% จึงมองหุ้นปันผลเป็นคำตอบในการลงทุน
ขณะที่ข้อมูลในอดีตไม่ว่าดัชนี SET Index จะเป็นบวกหรือลบ แต่เงินปันผลยังคงเป็นบวกเสมอในทุกปี ช่วยพยุงพอร์ตในยามตลาดผันผวน และเสริมผลตอบแทนให้สูงขึ้นในยามตลาดเป็นบวก โดยเฉพาะกลุ่ม SETHD (หุ้นปันผลสูง) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลตอบแทนรวมได้ดีกว่าดัชนี SET Index ทุกปี
“หุ้นไทยฟื้นตัวของตลาดจากจุดต่ำสุดในปี 68 ได้รับแรงหนุนจากการลดภาษีและความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดลง แม้ตลาดยังซื้อขายในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว โดยมองเป้าหมายดัชนีปลายปีอยู่ที่ระดับ 1,300-1,340 จุด แต่การปรับตัวขึ้นของดัชนีในรอบนี้อาจเกิดการปรับฐานลงได้” นายวิน กล่าว

นางสาวภารดี มุณีสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวเสริมว่า บลจ.กสิกรไทย มอง Downside หรือความเสี่ยงขาของหุ้นไทยค่อนข้างจำกัดแล้ว ตลาดรับรู้ไปพอสมควร นอกจากนี้ การที่ภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น รวมถึงนโยบายการเงินและการคลังที่คาดว่าจะทำงานสอดประสานกันได้ดี ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไว้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง ทั้งการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือนที่สูง
“สำหรับ Downside อยู่ที่ 1,220 จุด ส่วนเป้าหมายปี 69 มองที่ระดับ 1,400-1,450 จุด คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปีนี้อยู่ที่ 18% จากฐานปีก่อนติดลบ ส่วนปี 69 คาดเติบโต 6%”นางสาวภารดี กล่าว
ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยไทย ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าแบงก์ชาติมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25-0.75% ซึ่งในการปรับลดดอกเบี้ยทุก 0.25% ส่งผลบวกต่อดัชนี 40 จุด แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นรับรู้ข่าวแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว จึงไม่น่าส่งผลให้ดัชนีพุ่ง ขณะที่กลุ่มแบงก์เองก็ไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยตามแบงก์ชาติทุกรอบ ดังนั้นผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ย(NIM)ของกลุ่มแบงก์ไม่ได้มากนักและตลาดก็รับรู้ไปแล้ว ขณะเดียวกันกลุ่มแบงก์ยังได้ปัจจัยหนุนจากนโยบายของรัฐบาลใหม่ในการเข้ามาช่วยแก้หนี้ผู้บริโภครายย่อย
นายวิน กล่าวต่อว่า ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ บลจ.กสิกรไทย แนะนำกองทุนเปิดเค หุ้นปันผล หรือ K-VALUE เป็นตัวเลือกที่มีศักยภาพในการบริหารพอร์ตการลงทุนหุ้นไทยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกองทุนดังกล่าวมีแนวทางการลงทุนที่เน้นคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด พร้อมให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลประกอบการและความมั่นคงทางการเงินของบริษัทที่ลงทุน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะยาว
สำหรับกองทุน K-VALUE เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นไทยชั้นนำซึ่งมีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบริหารจัดการที่คำนึงถึงความผันผวนที่ต่ำกว่าในภาวะตลาดขาลง (Downside Resilience) เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กองทุน K-VALUE มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 6.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี SET Index ที่อยู่ที่ 4.1% อีกทั้งยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเงินปันผลครึ่งหนึ่งของพอร์ตมาจากหุ้นกลุ่มแบงก์เป็นหลัก ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเกือบ 8% ขณะที่กลุ่มพลังงานผลตอบแทนปันผลประมาณ 6% โดยหุ้นปตท. อยู่ที่ 6.3% หุ้นโรงไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 6.5% โดย Valuation กลุ่มแบงก์และพลังงานใกล้เคียงกัน
สำหรับผลตอบแทนกองทุน K-VALUE ในรอบ 1 ปี (31 ส.ค.67-31 ส.ค.68) อยู่ที่ 7.11% เมื่อเทียบ SETHD อยู่ที่ 6.07% และ SET TRI ติดลบ 5.23%
ด้านพอร์ตการลงทุน กองทุน K-VALUE ปัจจุบันอยู่ในกลุ่มแบงก์ พลังงานและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 25-30 บริษัท ซึ่งหุ้น 3 อันดับแรก ได้แก่ PTT, SCB, KBANK มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเกิน 6% ซึ่งหุ้นบางตัวสูงปันผลเกิน 8% ในขณะที่ P/E หุ้นในพอร์ตกองทุนเฉลี่ย 8.3 เท่า ต่ำกว่า SET Index อยู่ที่ 14.5 เท่า และความผันผวนยังต่ำกว่าอยู่ที่ 12.6% เมื่อเทียบ SET Index ที่ 13.4%
นอกจากนี้กองทุนได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนอย่างมืออาชีพ (ที่มา: Morningstar ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568)
สำหรับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาแนวทางในการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน การเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยทั่วไปสู่กองทุน K-VALUE ถือเป็นตัวเลือกที่มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน โดยกองทุน K-VALUE สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ซื้อง่ายอย่างปลอดภัยด้วย App K PLUS และ K-My Funds หรือ ธนาคารกสิกรไทย และ ผู้แทนสนับสนุนการขาย ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกช่องทางของกสิกรไทย หรือ ผู้แทนสนับสนุนการขาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 และศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองได้ที่ www.kasikornasset.com
