ประกันภัยรอดไม่มีบัญชีม้า เร่งรื้อเบี้ยน้ำท่วม-รถไฟฟ้าใหม่ 

HoonSmart.com>>นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ยืนยันตรวจสอบแล้วไม่พบ“บัญชีม้า”ในธุรกิจประกัน เหตุระบบไม่เอื้อต่ออาชญากรรม เดินหน้าปรับโมเดลการคิดเบี้ยน้ำท่วม-รถไฟฟ้าใหม่ หลังเสียหายหนัก หวังรัฐบาลใหม่เพิ่มความเชื่อมั่นดันยอดขายโตเกิน 2.5% 

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวภายหลังการบรรยายในเวที Executive Talk ภายใต้หัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรม สู่การเปลี่ยนผ่านธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่” ว่า จากกรณีที่มีข่าวการใช้บัญชีธนาคาร บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นบัญชีม้า ทาง ธุรกิจประกันวินาศภัย ได้ทำการตรวจสอบบัญชีลักษณะดังกล่าว ไม่พบกรณีการใช้บัญชีประกันเป็น “บัญชีม้า” ในการฟอกเงิน เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในส่วนภาคการเงินอื่น อาจเป็นเพราะระบบประกันภัยยังไม่สะดวกเพียงพอ สำหรับกลุ่มอาชญากรที่จะนำมาใช้ในลักษณะดังกล่าว รวมถึงอดีตที่ผ่านมา ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือและเป็นส่วนหนึ่งของบัญชีม้า

ทั้งนี้ ธุรกิจประกันภัย มีการติดตามการเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้บริบททางเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือให้ทัน สร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ และเป็นที่พึ่งของสังคม โดยธุรกิจประกันภัย เป็น 1 ใน 10 ของธุรกิจอันดับต้นๆ ที่สำนักวิเคราะห์ขนาดใหญ่ทั่วโลกมองว่าเป็นธุรกิจที่จะยังเติบโตและเป็นดาวรุ่ง

 

สำหรับปี 2568 ในช่วง 6 เดือนแรกเบี้ยรับรวมยังโต 3.5% แต่ช่วงครึ่งปีหลังเริ่มชะลอตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งปีคาดว่าจะโต 2.5% แต่หลังจากรัฐบาลใหม่เข้ามาแม้จะเป็นระยะเวลาไม่นาน ทำให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเบี้ยรวมอาจโตกว่า 2.5%

ขณะนี้ กำลังจับตาภาวะน่ำท่วมใหญ่ ที่ปีนี้เกิดขึ้นบ่อย และกินพื้นที่กว้างกว่าเดิม ซึ่งเป็นผลจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกปี ล่าสุดเขื่อนที่หล่มสักแตก น้ำท่วมอำเภอหล่มสักอย่างรุนแรง จากอดีตจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ปีละครั้ง

ภาคธุรกิจประกันภัย ได้ทำการปรับปรุงโมเดลการประเมินความเสี่ยงใหม่ โดยเฉพาะการพัฒนา Climate Risk Insurance  โดยเฉพาะในด้าน Flood Zoning ที่สามารถแบ่งพื้นที่ความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ ที่สามารถนำมาใช้ในการกำหนดเบี้ยประกันภัย การออกแบบกรมธรรม์เงื่อนไขความคุ้มครอง และการบริหารพอร์ตโฟลิโอของบริษัทประกันภัยได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

เตรียมจัดทำ Digital Flood Risk Map ที่อัปเดตข้อมูลได้แบบ Real-Time และสามารถใช้งานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยี IoT และ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System:  GIS) เพื่อสนับสนุนการประเมินความเสี่ยงเชิงพื้นที่และระบบบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงพื้นที่ เช่น Flood Zoning

ด้านการประกันภัยรถยนต์ กำลังเร่งจัดทำ “ราคากลาง” ของรถยนต์และค่าซ่อมแซมโดยใช้ระบบ AI และ Big Data เพื่อปรับปรุงราคากลางให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของตลาดในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการเสนอเบี้ยประกันภัย และลดข้อโต้แย้งในกระบวนการเคลม

รวมถึง จะมีการทบทวนการรับประกันภัยรถไฟฟ้า (EV) ใหม่ หลังจากค่าสินไหมทดแทนสูงกว่าเบี้ยที่รับมา หรือสูงกว่า 100% โดยมีแนวคิดที่จะนำรูปแบบการรับประกันภัยรถ EV ในจีนที่ตลาดประกันภัยรถไฟฟ้าพัฒนากว่าไทยมาก ซึ่งมีการแยกรับประกันความเสี่ยงตามอุปกรณ์ และระบบ ในรถ ซึ่งจะมีการหารือกับบริษัทประกันภัยรถ EV ให้เรฺวที่สุด

ด้านการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ มีการจัดทำแนวทางที่เน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากกว่าการจ่ายเมื่อล้มป่วย โดยใช้นวัตกรรมที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพ เช่น โปรแกรม Wellness Insurance, Telemedicine, AI ผู้ช่วยด้านสุขภาพ, ระบบตรวจจับความเสี่ยงล่วงหน้า และระบบเคลมอัตโนมัติแบบทันที

ดร.สมพร กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัย ยังเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการทางธุรกิจ ไปจนถึงการออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ ครอบคลุมด้าน Usage-Based Insurance, Embedded Insurance และ All-in-One Insurance ให้ทันต่อการเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผู้บริโภคมีความคาดหวังว่าทุกขั้นตอนของบริการต้องสามารถดำเนินการผ่านสมาร์ตโฟนได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งการซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการติดต่อบริการ

ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain เข้ามาช่วยในกระบวนการทำงาน ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก จุดเน้นสำคัญคือการคิดล่วงหน้าและลงมือก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งก่อนที่ความต้องการของลูกค้าจะปรากฏชัดเจน เพื่อเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน จากธุรกิจในรูปแบบเดิม และผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech ที่ไม่มีสำนักงานแบบดั้งเดิม

ที่สำคัญอย่างยิ่งคือการยกระดับ Insurance Literacy หรือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันภัยของประชาชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องชีวิต และทรัพย์สิน จากความไม่แน่นอนรอบตัว ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้จริง เช่น Modular Insurance ที่ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองเฉพาะด้านตามงบประมาณ, Bite-Sized Insurance ที่มีเบี้ยประกันต่ำเริ่มต้นเพียงไม่กี่บาทต่อวัน, All-in-One Insurance ที่รวมหลายความคุ้มครองไว้ในแพ็กเดียว และ Embedded Insurance ที่ฝังตัวอยู่ในบริการอื่น ๆ เช่น การจองตั๋วเดินทาง หรือการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดจะช่วยสร้างโอกาสให้ประชาชนเริ่มเข้าถึงและเรียนรู้ประกันภัยบนประสบการณ์จริง

ด้วยเทคโนโลยี และความรู้ที่มี ช่วยให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงแค่ซื้อเพราะเป็นข้อบังคับ แต่เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความคุ้มค่า และสามารถตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง

ดร.สมพร กล่าวว่า บริษัทประกันภัย มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และคำนึงถึงผลกระทบที่ผลิตภัณฑ์และบริการมีต่อโลกอย่างรอบด้านมากขึ้น ESG (Environment, Social, Governance) โดยมองว่า เป็นข้อกำหนดสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อประเด็น  และความยั่งยืน

เพราะการปรับตัวสู่ความยั่งยืนของธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการปรับเฉพาะผลิตภัณฑ์หรือช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล การบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย และการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถคงบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

———————————————————————————————————————————————————–