HoonSmart.com>>ตามคาด! ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) หั่นดอกเบี้ย 0.25% ปีนี้จ้องลงอีก 2 ครั้ง ปี 69-70 ลดอีก 0.25%ต่อปี พาโลกเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาลง ฮ่องกงลงตาม จีนยืนเท่าเดิม จับตาอังกฤษ-ญี่ปุ่น ประชุมวันนี้ “เอกนิติ” เผยหารือผู้ว่าธปท.คนใหม่ เตรียมมาตรการดูแลเงินบาทแข็งไว้แล้ว ว่าที่รมช.คลังหวั่นเงินร้อนไหลเข้าไทยเร็วกว่าคาด บล.เอเซียพลัส เงินเทมาที่หุ้นเอเชีย ด้านหุ้นไทย ดัชนีร่วงหลุด 1,300 ต่างชาติทิ้งหนัก 3,227 ล้านบาท นักวิเคราะห์ชี้บางกองทุนชิงขายก่อน FTSE Rebalance 19 นี้
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติ 11 ต่อ 1 เสียงปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ตามตลาดคาด ส่วนการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้ และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และ 2570 นอกจากนี้เฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้สู่ระดับ 1.6% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.4% ขณะที่คงคาดการณ์เงินเฟ้อและอัตราว่างงานในปีนี้
ด้านธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานลง 0.25% สู่ระดับ 4.50% ตามเฟดและส่งสัญญาณว่า จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในช่วงที่เหลือของปีนี้
ส่วนธนาคารกลางจีน (BOC) คงอัตราดอกเบี้ย Reverse Repo ระยะ 7 วันไว้ที่ 1.40% และธนาคารกลางบราซิล มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Selic) ไว้ที่ระดับ 15% ซึ่งเป็นการตรึงดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2549 โดยการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้
วันที่ 19 ก.ย.2568 จะมีการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ(BoE) โดยคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.00% และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
นายวรภัค ธันยาวงศ์ ว่าที่ รมช.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว คาดเงินร้อนที่อาจจะไหลเข้ามาเร็วกว่าที่คิด และทำให้ค่าเงินบาทแข็งจนเกินดุล หลังจากเฟดปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ครั้งแรกของปี และส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย ระหว่างไทย-สหรัฐฯ แคบลง
นักลงทุนต่างชาติ อาจมองหาผลตอบแทนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรไทย และตลาดทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอาจส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งเพิ่มขึ้น จากกระแสเงินทุนไหลเข้า ทั้งในพันธบัตร และหุ้น
นอกจากนี้หากเฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯยังอยู่เหนือ 2% ความผันผวนค่าเงินดอลลาร์อาจสูงขึ้น ทำให้เงินบาทเหวี่ยงแรงได้ทั้งแข็งและอ่อนตามกระแส risk-on/risk-off
สำหรับไทย โจทย์สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะใช้ smoothing operations อย่างไร เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าจนกระทบผู้ส่งออก และการท่องเที่ยว
ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากว่า ได้มีการหารือเบื้องต้นกับนายวิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่าการธปท.คนใหม่เพื่อเตรียมมาตรการดูแลเสถียรภาพค่าเงินไว้แล้ว หลังจากพบว่ามีเงินไหลเข้ามาผิดปกติ แต่คงต้องรอให้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งก่อนเดินหน้าทำงานทันที
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) วิเคราะห์ระบุว่า การประชุมเฟดมีมติ 11 ต่อ 1 ให้ปรับลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 4.25% ตามคาด แต่ Stephen Miran ผู้ว่าการเฟดคนใหม่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพรรคริพับลิกันลงมติ “ค้าน” โดยเห็นว่าควรลดแรงกว่านั้นที่ 0.5% ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่าอาจเป็นการแทรกแซงทางการเมือง เสี่ยงบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด Dot Plot ล่าสุดระบุว่าเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2 ครั้งในปีนี้, 1 ครั้งในปี 2569 และอีก 1 ครั้งในปี 2570 ทำให้ตลาดเชื่อว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะลงแรงกว่าประเทศอื่นในช่วงที่เหลือของปี และมีโอกาสหนุนให้เม็ดเงินจากตราสารหนี้ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะในเอเชีย
กระแสเงินทุน ETF ไหลเข้าตลาดหุ้นจีน โดดเด่นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้น Big Tech จีน ให้ผลตอบแทนเหนือกว่าหุ้น Big Tech สหรัฐฯ คาดว่าเม็ดเงินจะยังคงเข้าตลาดจีนต่อเนื่อง นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่ม “Terrific 10” ถูกมองว่าน่าสนใจกว่า MAG7 จากปัจจัย Market Cap ที่เล็กกว่า และ Valuation ที่ถูกกว่า แนะนำทยอยสะสมใน 3 ธีมหลัก ได้แก่ กลุ่มคลาวด์: Alibaba, Baidu กลุ่มเกม: Tencent, NetEase กลุ่มชิป: SMIC
การเมืองไทยยังมีจังหวะสะดุดเล็กน้อย หลัง ครม.ชุดใหม่ “อนุทิน” ถูกตีกลับ 1 รายเนื่องจากไม่ผ่านคุณสมบัติ แต่คาดจะมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายใน ก.ย.–ต้น ต.ค. 68 ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้านเริ่มชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น คนละครึ่ง, มาตรการภาษี, ท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์และสิทธิประโยชน์ต่อนักลงทุน ซึ่งจะช่วยเสริมกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศ หนุนให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง และผลักดัน SET Index เป็นขาขึ้น
วันที่ 18 ก.ย.68 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,297.01 จุด ลดลง 9.68 จุด หรือ -0.74% มูลค่าซื้อขาย 44,929.51 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายมากถึง 3,227.33 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 159.39 บาท สถาบันขาย 96.65 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนไทยช้อนซื้อ 3,483.37 ล้านบาท ด้านค่าเงินบาทปิดที่ 31.77 บาท/ดอลลาร์ ส่วน Yield Curve ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า 0.03-0.05% หลังเฟดลดดอกเบี้ย
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 3 พันล้านบาท คาดว่าส่วนหนึ่งจะเป็นการขายหุ้น CRC ออกมา และมีการปรับพอร์ตหลังจากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% พร้อมส่งสัญญาณ Dot Plot ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด รวมถึงมีการขายดักของบางกองทุนหลังจากที่จะมี FTSE Rebalance ในวันที่ 19 ก.ย.นี้ ซึ่งหุ้น SAWAD และ BGRIM ถูกลดชั้น จาก Standard Index ไปสู่กลุ่มหุ้น Small Cap Index คาดตลาดวันที่ 19 ก.ย.ตลาดจะแกว่งซึม ๆ เพราะมี FTSE Rebalance พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,290-1,306 จุด
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มองตลาดหุ้นเป็นช่วงปลายของตลาดขาขึ้น ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา อีกทั้งเงินบาทอ่อนค่า โดยวันนี้อ่อนลงมา 31.90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ และวอลุ่มตลาดตราสารหนี้ก็เพิ่มขึ้น อีกทั้ง Sell on fact หลังเฟดประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณ Dot Plot ต่ำกว่าตลาดคาด
นอกจากนี้ หุ้นไทยขึ้นมาราว 20% แล้วนับจาจุดต่ำสุด (Bottom) ที่อยู่แถว 1,050 จุด จึงไม่แปลกที่นักลงทุนต่างชาติจะ Take profit อีกทั้ง FTSE Rebalance จะมีผลในวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ดี มองดัชนี SET ไม่น่าจะหลุด 1,280 จุด ซึ่งมองดัชนีฯคงจะเขย่าอยู่ในกรอบ 1,280-1,310 จุด สักพัก ในช่วงรอดูผลประชุมกนง. ซึ่งหากปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตลาดก็จะทรงตัว แต่ถ้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ตลาดจะดีในช่วงแรก
