เศรษฐกิจ Q2โต 2.8% สภาพัฒน์เพิ่มเป้าทั้งปี 2% แบงก์หั่นดบ.กู้ ลดภาระลูกหนี้ 5-7 พันลบ.

HoonSmart.com>>สภาพัฒน์เผย GDP ไตรมาสที่ 2/68 โต 2.8% ดีกว่าตลาดคาดที่ 2.5-2.7% แต่ชะลอลงจากไตรมาส 1 รวมครึ่งปีโต 3.0%  ปรับประมาณการทั้งปีโต 2%  ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยยืนยันเป้าปีนี้ 1.5% มองครึ่งปีหลังลงอย่างมีนัยสำคัญ แบงก์แห่ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เท่ากับกนง. ส่งผ่านได้ “เร็วและเต็มที่” กว่ารอบก่อน ๆ ลดภาระลูกหนี้ได้ถึง 5-7 พันล้านบาท อยู่ในสินเชื่อธุรกิจ-บ้าน-สินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกัน เช่น บ้านแลกเงิน ด้านหุ้นร่วง 17.11จุด ทิ้ง THAI ดิ่ง -13% 

 

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ  (GDP) ไตรมาสที่ 2/2568 ขยายตัว 2.8% จากตลาดคาด 2.5-2.7% แต่ชะลอลงจากในไตรมาส 1/2568 ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของการผลิตภาคนอกเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่การผลิตภาคเกษตรขยายตัวต่อเนื่อง สำหรับด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชน และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลชะลอตัวลง การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การสะสมทุนถาวรเบื้องต้น และการนำเข้าสินค้าและบริการเร่งตัวขึ้น รวมครึ่งปีแรก   GDP ขยายตัว 3.0%  และปรับเพิ่มประมาณการทั้งปีนี้ที่  1.8 – 2.3% หรือเฉลี่ย  2.0% จากครั้งก่อนวันที่ 19 พ.ค.คาดโต 1.3 – 2.3% หรือเฉลี่ย 1.8%

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 การส่งออกสินค้าขยายตัวในเกณฑ์สูง ที่ 15% โดยสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ตามการเร่งส่งออกสินค้า ก่อนสิ้นสุดช่วงผ่อนผันอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ คอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, เครื่องจักรและอุปกรณ์, แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน, ชิ้นส่วนและอุปกรณ์สำหรับยานยนต์ และยาง

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ในช่วงไตรมาส 2 ขยายตัว 4.1% ถือเป็นการกลับมาขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส สอดคล้องกับการขยายตัวของการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ที่เป็นการเพิ่มขึ้นของการลงทุนทั้งในหมวดยานยนต์ หมวดอุตสาหกรรม และหมวดเครื่องใช้สำนักงาน แต่ทั้งนี้ การลงทุนในหมวดก่อสร้าง ลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 ตามการลดลงของการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยเป็นสำคัญ

ส่วนการอุปโภค-บริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 2.1% ชะลอลงจากไตรมาสแรก จากลการใช้จ่ายในหมวดบริการเป็นสำคัญ สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ปรับลดลง

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทย ช่วงไตรมาส 2  มีจำนวน 7.13 ล้านคน ลดลง 12.2% จากไตรมาสแรก โดยมาจากมาเลเซียสูงที่สุด 1.14 ล้านคน, จีน 0.93 ล้านคน, อินเดีย 0.64 ล้านคน, รัสเซีย 0.31 ล้านคน และเกาหลีใต้ 0.27 ล้านคน ขณะที่รายรับจากการท่องเที่ยว อยู่ที่ 3.4 แสนล้านบาท อัตราการเข้าพักอยู่ที่ 69.8% ลดลงจากไตรมาสแรก

อัตราเงินเฟ้อ ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ -0.3% ติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตามการลดลงของราคาพลังงานในตลาดโลก และจากฐานที่สูงในปีก่อน

ทางด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเศรษฐกิจไตรมาส 2/2568 โต 2.8% ตามคาดได้รับแรงหนุนจากการเร่งส่งออก และผลผลิตการเกษตรที่ปรับสูงขึ้น ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนชะลอลง

“ยังคงประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ที่ 1.5% โดยมีมุมมองครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ จากแรงส่งของการส่งออกที่ลดลงหลังมีการเร่งส่งออกสูงในช่วงครึ่งแรกของปี แม้ไทยได้รับอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ดีกว่าเดิมที่ 19% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังหดตัวต่อเนื่องไปในไตรมาส 3-4 มองทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 32.2 ล้านคน รวมถึงการลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มชะลอตัวครึ่งปีหลังจากทั้งปัจจัยการเบิกจ่ายงบประมาณที่ช้าลง และผลของฐานต่ำที่หมดไป” บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ

ส่วนกรณีธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ทั้ง MLR, MRR และ MOR ตามมติกนง. ลง 0.25% ไปที่ระดับ 1.50% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าเป็นการส่งผ่านได้ “เร็วและเต็มที่” กว่ารอบก่อน ๆ ซึ่งการลดดอกเบี้ยลงเท่ากับกนง.ไม่พบบ่อยในการปรับลดดอกเบี้ยช่วงที่ผ่านมา คาดว่า ผลของการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงลงถึง 0.25% ทั้ง 3 ประเภท (MLR, MRR, MOR) จะช่วยบรรเทาภาระทางการเงินให้กับลูกหนี้ได้ถึง 5-7 พันล้านบาท ผลส่วนใหญ่จะอยู่ในสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน

ด้านตลาดหุ้น ดัชนีปรับตัวลงปิดที่ 1,242.31 จุด ร่วงลง 17.11จุด หรือ-1.36% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 39,299.17ล้านบาท  เกิดจากแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยบริษัท การบินไทย (THAI) ปิดที่ 14.30 บาท  ทรุดลง 2.20 บาทร่วงลง 13.33% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 3,789.39  ล้านบาท  AOT  ปิดที่ 37.75 บาท ลดลง 1.25  บาทหรือ-3.21%  และ DELTA  ปิดที่  147.50  บาท ลดลง 2 บาทหรือ
-1.34%  รวมถึงแรงขายหุ้นแบงก์  ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำไรดี เช่น ANAN ปิดที่ 0.49 บาทท บวก 0.05  บาท พุ่งขึ้น 11.36%