HoonSmart.com>>”ซีพี แอ็กซ์ตร้า”(CPAXT) เล็งยอดขายครึ่งหลังปี 68 ดีกว่าครึ่งปีแรก แรงหนุนจากการขายสินค้ามาร์จิ้นสูง-คุมค่าใช้จ่าย ด้าน Private Label เดินหน้าขยายสาขาใหม่ 163 แห่ง ส่วน 3 สาขาในกัมพูชายังดำเนินการตามปกติ ไม่รับผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา สัดส่วนรายได้ต่ำกว่า 1% ของรายได้รวม
น.ส.ภัทรวัลล์ สุกปลั่ง ผู้อำนวยการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2568 คาดว่ายอดขายจะดีกว่าครึ่งปีแรก ปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรที่ดีกว่า จากการขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นดี ทั้งอาหารพร้อมทาน และสินค้าแบรนด์ รวมถึงมีการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งทิศทางการทำกำไรดีขึ้น ในเดือนส.ค. ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ดูดีขึ้นจากฝนตกน้อยลง มองเป็นบวก ซึ่งดูดีกว่าครึ่งปีแรกด้วย
“การแข่งขันในตลาดยังมีอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตจำกัด เราก็ต้องแข่ง โดยใช้จุดแข็งด้านออนไลน์ ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิม และดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วย”น.ส.ภัทรวัลล์กล่าว
สินค้า Private Label ปัจจุบันมียอดขาย 16% ของ Product Mix โดยวางเป้า 5 ปีข้างหน้า บริษัทเพิ่มเป็น 40% โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างจำกัด จะช่วยสนับสนุนยอดขายกลุ่ม Private Label จากกลุ่มลูกค้าที่มีมุมมองว่าสินค้าคุณภาพดีสามารถทดแทนสินค้าดั้งเดิม (Natural Brand) ได้ โดยกลุ่มที่บริษัทฯ สนใจจะเน้นขยายในกลุ่มอาหาร ทั้งอาหารพร้อมทานทั้ง (Ready to eat) และสินค้าพร้อมอบ (Ready to bake) รวมถึง สินค้าทั่วไป (General Merchandise) ซึ่งมีมาร์จิ้นค่อนข้างดี
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2568 จะขับเคลื่อนการเติบโตด้วยความยืดหยุ่น โดยจะเติบโตทุกช่องทาง ทั้ง SSSG, การเปิดสาขาใหม่, Omni Channel และ E-commere, เสริมสร้างจุดหมายปลายทางอาหารสด, การปรับปรุงสินค้าและอัตรากำไร มุ่งเน้นไปที่หมวดหมู่ เช่น Private Label & Exclusive brand, Health & Beauty Wellness ฯลฯ , ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มสมาชิกที่ลงทะเบียนใช้งานอยู่ ผู้ใช้ปลายทางและผู้ค้าปลีกอาหาร, ปรับปรุงและขยายห้างสรรพสินค้า เสริมความแข็งแกร่งให้กับชุมชนอัจฉริยะด้วยแนวคิด”แฮปปี้มอลล์”, การขยายตัวในระดับภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการการเงินด้วยตนเอง, การพัฒนาที่ครอบคลุมโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูล มุ่งเน้นที่ข้อมูล การคาดการณ์ความต้องการ กระบวนการทางธุรกิจ และการขับเคลื่อนของตลาด, ลดต้นทุน OPEX ด้วยการประสานรวมและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
น.ส.ภัทรวัลล์ กล่าวถึงปัญหาไทย-กัมพูชาว่า “เราทำธุรกิจกับกัมพูชามานาน ร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง โดยมี 3 สาขาในกัมพูชา อยู่ที่พนมเปญ 2 สาขา และเสียมเรียบ 1 สาขา ซึ่งก็ยังเปิดดำเนินการปกติ โดยรวม 60% ที่เสนอขายในกัมพูชาจะเป็นสินค้าในกัมพูชา และเป็นสินค้านำเข้ามาขาย ซึ่งมีน้อยมากที่จะนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งในกัมพูชาไม่ขาดของและมีของขายให้ลูกค้า สำหรับรายได้ที่มาจากกัมพูชา ต่ำกว่า 1% ของรายได้ทั้งหมด ทำให้ไม่กระทบงบฯอย่างมีนัยยะเลย”
